ปีศาจเสื้อเหลือง (黃袍怪) อาศัยในถ้ำคลื่นจันทร์ (波月洞) ที่ภูเขาอั้วจื้อซัว(碗子山) ภายในอาณาจักรแห่ง เป่าเซี่ยงก๊ก (寶象國 ทรัพย์สมบัติ) เดิมเขาเป็หนึ่งในดาวฤกษ์ทั้ง 28 ชื่อ ดาวกุยแซ (奎木狼) เขาไปตกหลุมรักนางฟ้าเง็กหนึง (玉女) ที่อยู่บนสวรรค์ ฝ่ายหญิงมาจุติบนโลก ชื่อ แป๊ะฮ่องเซียว (百花羞) เป็นเจ้าหญิงไป่แห่งเมืองเป่าเซี่ยง (Baoxiang ทรัพย์สมบัติ) เขาจึงหนีจากสวรรค์ลงมาบนโลก ทำให้เขากลายมาเป็นปีศาจเสื้อเหลือง หรืออึ้งเพ้าไต้ฮ่อง(黃袍怪) แล้วไปลักพาตัวเจ้าหญิงไป เพื่อข่มขืนแล้วอยู่กินกับเธอ และมีลูกด้วยกัน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ตอนเริ่มเรื่อง เขาก็จับพระถังได้ เนื่องจาก โป๊ยก่ายแอบไปหลับและซัวเจ๋งไปตามโป๊ยก่าย ทำให้พระถังอยู่คนเดียวในป่า ศิษย์ทั้งคู่พยายามไปช่วยพระถัง แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถสู้กับปีศาจได้ จึงต้องกลับไปขอร้อง เห้งเจีย แม้ว่าเห้งเจียจะมาสู้เองก็ไม่สามารถปราบได้ ต้องไปขอร้องเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อเง็กเซียนรู้เรื่อง ก็ตรวจดูพบว่าดาวหายไป 1 ดวงเหลือเพียง 27 เท่านั้น จึงให้ดาวทั้ง 27 ภาวนาเรียกตัวขึ้นมาบนสวรรค์กลับมารับโทษเป็นผู้รักษาเตาหลอมของ ไท้เสียงเหล่ากุง (太上老君)
(ระหว่างอ่านปริศนาธรรม รบกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)
เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
คณะเดินทางมายังป่าแห่งหนึ่ง คณะยังไม่ได้กินอะไรเลย พระถังซำจั๋ง จึงให้โป๊ยก่ายไปบิณฑบาตร เมื่อโป๊ยก่าย ออกไปแต่กลับไปแอบหลับ พอพระถังซำจั๋ง เห็นว่าโป๊ยก่ายหายไปนาน จึงให้ซัวเจ๋งไปตามหา พระถังซำจั๋งเมื่ออยู่คนเดียว ก็เดินไปรอบๆ สายตามองไปเห็นเจดีย์และอารามจึงเดินเข้าไปเพื่อหวังนมัสการ แต่เมื่อเข้าไปกลับไปเจอปีศาจยักษ์
ปีศาจจึงสั่งให้บริวารจับพระถังมัดแล้วเอากลับไปยังถ้ำคลื่นจันทร์ เมื่อซัวเจ๋งไปพบกับโป๊ยก่าย ก็ต่อว่าโป๊ยก่ายว่า ที่มาหลับนอนทำให้เสียงานเสียการ ระหว่างนั้น ศิษย์ทั้งสองก็กลับมาไม่เห็นพระอาจารย์จึงออกตามหา เมื่อมาถึงเจดีย์ก็เข้าไป ก็พบกับปีศาจ “อึ่งเพ้าไต้อ๋อง” หรือ ปีศาจเสื้อเหลือง (黃袍怪) ปีศาจก็บอกว่า ข้าทำบุญเลี้ยงอาหารทุกวัน หากทั้งคู่ไม่รังเกียจก็เชิญมาทานอาหารด้วยกัน แต่โป๊ยก่าย กับซัวเจ๋งไม่ฟังเสียง เข้ารุมสู้ทันที แต่ไม่รู้แพ้รู้ชนะกัน
กลับมาที่ภายในถ้ำ มีหญิงสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาพบพระถังถูกมัด จึงได้แก้เชือกให้ แล้วบอกกับพระถังว่า ตัวข้าไม่ใช่ปีศาจ แต่เดิมเป็นเจ้าหญิงอยู่เมืองเป่าเซี่ยงก๊ก (寶象國 ทรัพย์สมบัติ) แต่ปีศาจได้จับตัวข้ามาข่มขืนเป็นภรรยาปีศาจ เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คนชาย1 หญิง1 แต่ไม่เคยได้ส่งข่าวให้บิดาเลย และได้ถามว่าพระถังจะเดินทางไปไหน เมื่อทราบเรื่องว่าจะต้องผ่านเมืองของบิดา จึงได้เขียนจดหมายแล้วฝากพระถังไปแจ้งข่าวให้บิดาแล้ว ก๋งจู๊ (ชื่อแปลว่า น่ารักกว่าดอกไม้ ) ก็มาหน้าถ้ำเห็นกำลังสู้รบกันอยู่ ก็เรียกสามีมาบอกว่า ก่อนแต่งได้อธิฐานต่อหน้าพระว่า “ชาตินี้ขอให้ได้สามีที่แสนดี จะทำบุญใหญ่ถวาย ครั้งนี้ข้าได้ท่านอึ้งเพ้าเป็นสามีที่แสนดี เมื่อครู่ข้านอนฝันว่า มีพระท่านมาทวงคำอธิฐานในครั้งนั้น ตื่นมาข้าเห็นพระภิกษุท่านหนึ่งถูกมัด ข้าจึงมาขอให้ท่านสามีช่วยปล่อยพระภิกษุไปเพื่อแก้คำอธิฐานให้ข้า ท่านเห็นสมควรหรือไม่”
อึ้งเพ้าไต๋อ๋องนั้นเป็นคนรักเมียมาก ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า “ต้องสงสัยไปใยเล่า ตามแต่ภรรยาจะประสงค์เถอะ” แล้วปีศาจก็เรียก ซัวเจ๋งกับโป๊ยก่ายมาบอกว่า “ข้าไม่ได้แพ้พวกเจ้านะ แต่เมียข้าปล่อยอาจารย์เจ้าไปแล้วอยู่หลังถ้ำ พวกเจ้าไปรับอาจารย์ที่หลังถ้ำเถอะ"
เมื่อคณะรวมกันได้อีกครั้งก็เดินทางมาถึงเมือง เป่าเซียงก๊ก ที่มีความวิจิตรพิศดารมาก เมื่อมาถึงก็ยื่นหนังสือของพระเจ้าถังไท้จง เพื่อขอเฝ้าเจ้าเมืองทันที และได้ไต่ถามเรื่องลูกสาวของเจ้าเมืองที่ถูกปีศาจลักพาไป 13 ปีก่อน พร้อมกับยื่นจดหมายที่ลูกสาวฝากให้ท่านเจ้าเมือง ภายนอกจดหมายเขียนว่า “ความสุข” ภายในจดหมายเขียนว่า “ข้าถูกปีศาจจับไปเมื่อ 13 ปีก่อนในคืนวันเพ็ญ เดือน 8ทำให้ข้าไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอให้ท่านส่งทหารมาปราบปีศาจ เพื่อช่วยเหลือข้าจากปีศาจ” เมื่อเจ้าเมืองอ่านจบก็น้ำตาไหล และประกาศขออาสาจากเหล่าขุนนาง เหล่าขุนนางตอบกลับว่า "พวกข้าแม้จะฝึกยุทธ์ และตำราพิชัยสงคราม มามากมาย ก็ไม่สามารถนำไปปราบปีศาจได้ จึงขอให้ท่านผู้วิเศษคือ พระถังผู้มีบุญญาธิการช่วยไปปราบแทนด้วยเถอะ" พระถังจึงบอกว่า ข้ามาถึงที่นี่ได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของศิษย์สองคน
เจ้าเมืองจึงรับสั่งให้ศิษย์ทั้งสองไปช่วยปราบปีศาจแล้วจะตอบแทนรางวัลให้ ซัวเจ๋ง และโป๊ยก่ายจึงรีบเหาะไปถ้ำของปีศาจ แล้วเข้าสู้รบกับปีศาจเสื้อเหลืองทันที แต่ว่า ทั้งสองสู้ไม่ได้ โป๊ยก่ายนั้นหนีออกมาก่อน ทำให้ซัวเจ๋งพลาดท่าโดนจับมัดตัวไว้ที่ถ้ำของปีศาจ
ปีศาจเสื้อเหลือง สงสัยว่า ทำไมทั้งสองจึงกลับมาสู้รบอีก เพราะปล่อยตัวพระถังไปแล้ว โดยสงสัยในตัวภรรยา จึงเดินไปถามว่า นางแพศยา ภรรยาจึงถามกลับว่า "โกรธเรื่องอะไร" ปีศาจจึงตอบว่า ตั้งแต่ข้านำตัวเจ้ามาที่นี่ เจ้าอยากได้อะไรข้าไปนำมาให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเสื้อผ้า ทรัพย์สิน เงินทอง แม้แต่มงกุฎทองที่เจ้าสวม แต่ในใจเจ้าคิดถึงแต่พ่อแม่ ไม่คิดถึงข้าเลย วันนี้ เจ้าปล่อยพระถังไป ฝากจดหมายไปบอกพระราชารึเปล่า ภรรยาก็แกล้งเฉไฉ ปีศาจจึงบอกว่า ข้าจับพยานได้หนึ่งคนข้าจะไปถามไถ่ดู พูดจบก็จิกหัวนางลากไปต่อหน้าซัวเจ๋ง แล้วถามกับซัวเจ๋งว่า “ที่กลับมารนหาที่ตายอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ข้าปล่อยไปรอบหนึ่ง เพราะภรรยาข้าแอบส่งจดหมายให้เจ้าเมืองใช่หรือไม่” ซัวเจ๋งนั้นเห็นนางกำลังโดนทรมานก็เข้าใจทันที จึงแกล้งตอบไปว่า “อาจารย์ข้าไปเห็นรูปในวัง เห็นว่าหน้าตาเหมือนนางจึงถามเจ้าเมืองว่า นี่ใครกัน จึงรู้ความ เจ้าจะฆ่าข้าก็รีบฆ่าข้าเสีย อย่าเสียเวลาไปฆ่านางผู้ซึ่งซื่อสัตย์ เลย”
ปีศาจเสื้อเหลืองได้ยินดังนั้น ก็รีบยกนางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ขอโทษขอโพยภรรยาสุดที่รักทันที แล้วพูดว่า “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าโมโหขึ้นมาทีไรขาดสติทุกที ขอภรรยาจงอภัยให้ข้าด้วย” พูดจบก็จัดโต๊ะเลี้ยงอาหารและสุราทันที แล้วบอกกับภรรยาว่า “พระถังอยู่ที่วังในเมือง ข้าต้องการไปเยี่ยมพ่อตา (เจ้าเมือง)” ภรรยาบอกว่า “อย่าไปเลยรูปร่างหน้าตาท่านไปแล้ว บิดาข้ามีแต่จะกลัวท่าน” ปีศาจเสื้อเหลืองจึงแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงาม ภรรยาเห็นดังนั้น ก็กล่าวเตือนว่า “หากท่านดื่มสุรา ท่านจะกลับคืนร่างนะให้ระวังเรื่องนี้ด้วย แล้วก็อนุญาตให้ปีศาจเสื้อเหลืองไปเยี่ยมพ่อตา”
เมื่อเข้าเมืองมา ก็ขอเข้าเฝ้าเจ้าเมืองทันที เพราะเขาคือ ลูกเขยคนที่สาม เจ้าเมืองอดใจไม่ได้จึงถามไถ่ว่า “ทำไมเจ้าถึงบอกว่า เจ้าเป็นลูกเขยข้า” ปีศาจที่ปลอมมาจึงทูลเท็จว่า “เมื่อ 13 ปีก่อน ข้าเห็นเสือคาบลูกสาวท่านมา จึงได้จับปีศาจเสือขังไว้ แล้วอยู่กินกับลูกสาวท่าน แต่ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าสู้หน้าท่าน จึงปล่อยเเรื่องนี้ให้เนิ่นนาน แต่วันก่อน เสือที่ข้าจับไว้นั้นได้หลุดออกมา ได้ข่าวว่า มันปลอมตัวเป็นพระอ้างว่ามาจากเมืองถัง พูดจบก็เสกให้พระถังเป็นเสือ
เจ้าเมืองเห็นดังนั้น จึงสั่งลูกน้องจับพระถังที่เป็นเสือไปขังไว้ในกรง ม้าขาวทนไม่ไหว จึงแปลงร่างเป็นมังกรหนีออกมาแล้วแปลงเป็นหญิงแอบไปลอบฆ่าปีศาจ แต่ปีศาจรู้ทัน ฟันไปที่หญิง ต้องรีบแปลงร่างกลับเป็นมังกรหนีลงน้ำ ก่อนที่จะแปลงกลับมาเป็นม้าอีกครั้ง
โป๊ยก่ายกลับเข้าเมืองก็เห็นว่า ซัวเจ๋ง ถูกปีศาจจับ ม้าขาวก็ถูกทำร้ายเจียนตาย พระถังก็ถูกขัง โป๊ยก่ายจึงร้องไห้เสียใจมาก จึงตัดสินใจเหาะไปหา เห้งเจีย ที่ถ้ำม่านน้ำ แล้วก็เล่าเรื่องให้เห้งเจียฟัง เห้งเจียรีบออกตัวว่า “ข้าไม่สามารถไปช่วยได้เพราะท่านอาจารย์สั่งไว้” โป๊ยก่าย ไหวพริบดี รีบชิงบอกว่า ที่ท่านเคยบอกว่า “หากเจอปีศาจ ให้อ้างชื่อท่าน แต่ปีศาจตนนี้ เมื่อข้าอ้างชื่อท่านไป มันกลับบอกว่าจะจับลิงมาต้มกิน” เห้งเจียโมโหมาก รีบเหาะมากับโป๊ยก่ายไปที่ถ้ำของปีศาจ เจอแต่ภรรยา จึงปลดมัดซัวเจ๋ง โดยภรรยาบอกว่า ปีศาจตนนี้มีอิทธิฤทธิ์มากเพราะมียาวิเศษที่อมไว้ในปาก
เมื่อปราบปีศาจสำเร็จ เห้งเจียก็มาช่วยพระถัง เมื่อเห้งเจียพบอาจารย์ก็กล่าวว่า “เพราะความใจดีของท่าน ทำให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้” โป๊ยก่าย จึงกล่าวว่า “อย่าซ้ำเติมท่านอาจารย์เลย” เห้งเจีย จึงต่อว่า “พวกเจ้ามีหน้าที่ดูแลอาจารย์ก็ดูแลต่อไป ข้าจะกลับละ” ซัวเจ๋งรีบกราบ เห้งเจีย แล้วบอกว่า “ไม่เห็นแก่พระสงฆ์ก็เห็นแก่พระโพธิสัตว์เถอะ ข้าขอร้องท่านพี่ละ” เห้งเจียจึงพรมน้ำมนต์ให้อาจารย์กลับร่างเป็นคน เมื่อพระถังออกมาจากกรงได้ก็กล่าวขอโทษเห้งเจีย แล้วคืนนั้น ทั้งหมดก็เลี้ยงฉลองกัน แล้วออกเดินทางต่อไป
ปริศนาธรรม
ผู้แต่ง แสดงให้เห็นว่า เมื่อขาดปัญญา(เห้งเจีย) การเดินทางไปสู่นิพพานก็ยากที่จะสำเร็จ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ผู้แต่ง เน้นไปที่เรื่องของ “ความสุข” โดยในพระไตรปิฎกนั้น ได้แยกความสุขเป็นหลายอย่าง
ต้นเรื่องนั้น อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น มาลักพาตัวนางก๊กจู๋ไปเป็นเมีย ในคืนวันเพ็ญ เดือน 8 (วันอาสาฬหบูชา วันที่มีพระสงฆ์ครั้งแรกในพุทธศาสนา) นั่นเป็นการเปรียบเปรยเรื่องการบวช กับ การครองเรือน ที่พระพุทธเจ้า กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เปรียบ ความสุขของคฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) ยังด้อยกว่า ความสุขของการบวช
ต่อมากล่าวว่า ความสุขที่มีกิเลส(หรืออาสวะ กิเลสระดับหมักหมมจนเข้าเป็นสันดาน) นั้น ด้อยกว่า ความสุขที่ปราศจากกิเลส (หรือ อาสวะ) ในตอนนี้ผู้แต่งจงใจให้ อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น เป็นตัวแทนของ ความสุขที่เจืออาสวะ (กามสุข) เพราะเขานั้นหลงรักนางฟ้าตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ตามลงมายังโลกเพื่อข่มขืนนาง โดยกามสุขระดับกิเลสนั้น ศีล (โป๊ยก่าย) ก็น่าจะชนะได้ แต่ เพราะเป็นกิเลสระดับ อาสวะ ศีลจึงยากที่จะระงับอาสวะได้ ขณะที่หากใช้ ปัญญา (เห้งเจีย) เพ่งพิจารณาให้ดี แม้จะสามารถชนะได้ แต่ก็ชนะได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะกามสุขระดับอาสวะนั้นสามารถหลบซ่อนในจิตได้ตลอดเวลา โดยในพระไตรปิฎกนั้นเปรียบเทียบความสุขขั้นสูงนั้น ต้องเป็นระดับฌาณ 1-4 เพื่อละกิเลสและอาสวะได้ทั้งหมด
ขณะที่ให้ภรรยาของ อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น เปรียบเสมือน ความสุขที่ปราศจากกิเลส นั่นคือ ความสุขที่ได้ทำบุญถวายโดยการปล่อยตัวพระถังไป ขณะที่เปรียบ เจ้าเมืองที่ร่ำรวย แม้จะมีราชวังมากมาย มีลูกน้องนับพัน แต่ก็ไม่มีความสุข (ลูกสาวที่เป็นตัวแทนของความสุข ไม่อยู่) ขณะที่ ข้าราชการในเมืองก็ยอมรับว่าความรู้ทางโลก (ไม่ว่าจะวิชายุทธ์หรือพิชัยสงคราม) ไม่สามารถกำจัด กามสุข ได้
นอกจากนี้ ลูกของกามสุข ทั้งสองคนนั้น เป็นชาย1 และหญิง 1 ที่เปรียบเสมือนชายหนุ่มหญิงสาว ทั่วโลกที่ยังคงเสพติดในกามสุขอยู่นั่นเอง โดยกามสุขระดับกิเลส นั้น โป๊ยก่าย( ศีล) ก็สามารถฆ่าได้ นั่นคือ โป๊ยก่ายจับลูกทั้งสองทุ่มตาย
ความสุข นั้นถือเป็น เจตสิก คือ การปรุงแต่งของจิต โดยต้องพิจารณาว่า ความสุขนั้นเกิดจากกิเลส (โลภโกรธหลง) หรืออาสวะ หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ความสุขที่ปราศจากกิเลส จะเป็นไปทางกุศล ที่มักจะมีส่วนประกอบของปัญญาด้วย เช่น ความสุขจากการทำทาน(ก๊กจู๊) ศีล ภาวนา (ลูกสาวเจ้าเมืองอีก 2 คน) เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การเสพติดอารมณ์นั้น จะทำให้เราตกเป็นทาสของอารมณ์โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราต้องมี สัมมาทิฐิ (แนวคิดที่ถูกต้อง) และ (สัมมาสังกัปปะ ความนึกคิดที่ถูกต้อง เป็น 1 ในมรรค 8 ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การไม่คิดเกี่ยวกับโลภ พยาบาท เบียดเบียน) โดยสิ่งที่ตรงข้าม จะเป็น มิจฉาสังกัปปะ
โดยแนวคิดที่ถูกต้อง นั่นจะต้องเป็นแนวคิดที่ปลอดโปร่ง มีอิสระ ไม่มีทั้งความชอบใจ ไม่ยึดติด ไม่มีความชอบใจหรือไม่ชอบใจ นั่นคือ การใช้ปัญญาในทางที่ถูกต้อง
ในพระไตรปิฎกนั้น เปรียบเทียบความสุขไว้ดังนี้
(เช่นเดิมผมย่อมาให้อ่านเข้าใจง่าย ใครสนใจควรหาฉบับเต็มอ่านนะครับ)
ความสุขของคฤหัสถ์ (ชาวบ้าน) ย่อมด้อยกว่า ความสุขที่เกิดจากบรรพชา
กามสุข ย่อมด้อยกว่า เนกขัมมสุข (การบวช)
สุขเจือกิเลส ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่เจือกิเลส
สุขที่มีอาสวะ (กิเลสระดับสันดาน) ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่มีอาสวะ
สุขที่อิงอามิส ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่อิงอามิส (สิ่งล่อ)
สุขของปุถุชน ย่อมด้อยกว่า สุขของอริยเจ้า
กายิกสุข ย่อมด้อยกว่า เจตสิกสุข
สุขอันเกิดจากฌาณ 1 ที่ยังมีปิติ ย่อมด้อยกว่า สุขอันเกิดจากฌาณ 1 ที่ไม่มีปิติ
สุขอันเกิดจากความยินดี ย่อมด้อยกว่า สุขอันเกิดจากความวางเฉย
สุขอันไม่ถึงสมาธิ ย่อมด้อยกว่า สุขอันเข้าถึงสมาธิ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น