ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 13 บ้านเศรษฐีนีม่าย
เนื้อเรื่องไซอิ๋ว
คณะเดินทางต่อไป เดินทางมาเจอไร่ขนาดใหญ่ และบ้านคฤหาสน์หลังใหญ่ จึงเดินเข้าไปเพื่อขอพัก 1 คืน เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ก็พบกับ เศรษฐีนี หน้าตาสะสวยผู้หนึ่ง เมื่อนางเห็นพระถังเข้ามา ก็ถามไถ่ว่า ท่านจะเดินทางไปไหน พระถังตอบกลับไปว่า คณะของข้ามีภาระกิจที่ยิ่งใหญ่คือ การเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ไซที(อินเดีย)
นางจึงได้กล่าวว่า ข้าอายุมากแล้ว สามีก็มาด่วนตายจาก ทิ้งสมบัติไว้มากมาย อยู่กับลูกสาว 3 คน ตนก็กำลังหาสามีให้ลูกสาว เศรษฐีนีจึงเอ่ยปาก ขอลูกศิษย์ท่าน 1 คน ให้เป็นสามีของลูกสาวเราได้หรือไม่ โดยกล่าวเป็นกลอนว่า ชุดผ้าแพรสีมีมากมาย ที่ดินข้ามีมากมาย ทรัพย์สมบัติก็เหลือจะใช้ ภัตตาอาหารและเหล้ายาก็มากมีเหลือจะกิน ยิ่งเคล้านารียิ่งสุขขี คณะของท่านอยู่นี่ย่อมสุขสบาย ท่านจะเดินทางไปไซทีให้ลำบากทำไม
พระถังจึงตอบกลับเป็นกลอนกลับไปว่า ทรัพย์สินเงินทองมีแต่ทำให้จิตเศร้าหมอง ผู้ทรงศีลอยู่ท่ามกลางอิสรตรี ย่อมเหมือนอยู่ท่ามกลางปีศาจ เมื่อเสียชีวิตไป ทรัพย์สมบัติก็นำติดตัวไปไม่ได้ เราจึงมุ่งมั่นไปไซที และลูกศิษย์ทั้งหมดก็ตอบปฎิเสธ รวมถึงโป๊ยก่าย ที่กล่าวว่า ข้าทิ้งภรรยามา เพื่อจะมาหาภรรยาใหม่ มันดูไม่งาม..
เศรษฐีนีโกรธมาก จึงตะโกนว่า ข้าอุตส่าห์หวังดี จะยกทรัพย์สมบัติให้ แถมอยากผูกความสัมพันธ์เครือญาติกับท่าน แต่ท่านเอาเรื่องความตายมาพูดใส่ ไม่มีมรรยาทเอาซะเลย จึงปิดประตูใส่ ไม่มีแม้แต่อาหาร หรือน้ำชา และให้คณะไปนอนใต้ต้นไม้แทน โป๊ยก่ายนั้นน้อยใจอาจารย์ว่า ทำไมไปตอบแบบหักหาญน้ำใจเช่นนั้น ทำให้แม้แต่อาหารก็ไม่มีกิน แถมคืนนี้ต้องนอนใต้ต้นไม้อีก
ตกดึก โป๊ยก่ายแกลังพาม้าขาวไปกินหญ้า แต่เขากลับทิ้งม้า แล้ว มุ่งตรงไปยังหลังบ้านของเศรษฐีนี ก็พบเศรษฐีนีและลูกกสาวทั้ง 3 คนซึ่งทุกคนสวยราวนางฟ้า โป๊ยก่าย จึงเอ่ยกับ เศรษฐีนีว่า หากไม่รังเกียจ ปากยื่น หูกางของข้า ข้ารับเป็นเจ้าบ่าวให้ลูกสาวท่านเอง แม่ม่ายจึงตอบกลับว่า ดีงั้นเรามาให้สวรรค์ตัดสินดีกว่าว่า ลูกสาวข้าคนไหนจะได้ท่านเป็นเจ้าบ่าว เรามาเล่นเกมเสี่ยงทายดีกว่า โดยการเอาผ้าคลุมหน้าท่านไว้ หากท่านจับได้ใคร คนนั้นเป็นเจ้าสาวของท่าน เมื่อโป๊ยก่ายหยอกล้อกับนางทั้ง 3 โดยการเล่นเอาผ้าคลุมหัว ทันใดนั้น โป๊ยก่าย ก็ถูกจับมัดทันที และถูกนำตัวไปแขวนไว้บนต้นไม้ ตื่นเช้ามา เมื่อคณะได้ยินเสียงโป๊ยก่าย จึงเข้าไปดู แล้วก็ช่วยเหลือลงมา
พร้อมกับพบกระดาษที่แปะติดไว้ที่ม้า ระบุเป็นกลอนว่า หนึ่งคือ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน หนึ่งคือ พระโพธิสัตว์เหวินซู และหนึ่งคือ เจ้าแม่เขาไท่ซาน คือ ลูกสาวของเศรษฐีนี อีกหนึ่งคือ พระกวนอิม เป็นเศรษฐีนี การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ นั้นยากลำบากมาก แต่หาก โป๊ยก่าย ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ การเดินทางจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น โป๊ยก่ายต้องปรับปรุงตัวให้มาก
เมื่อทั้งหมดได้อ่านข้อความ ก็พระถังก็กราบไหว้พระโพธิสัตว์ และตำหนิโป๊ยก่าย ก่อนออกเดินทางต่อไป
ปริศนาธรรม
ตอนนี้เป็นการทดสอบทางธรรมชาติ ในเรื่องทั้งความโลภ และราคะ ในจิตซึ่งมักจะเข้ามาก่อกวนจิตเราอย่างสม่ำเสมอ โดยเรื่องความโลภหรือความอยากนั้นได้กล่าวไปแล้ว ในบทความก่อนหน้านี้ บทความนี้จึงขอเน้นไปที่เรื่องของ กามราคะ (ความจริงแล้ว กิเลสทั้ง 3 คือ โลภ โกรธ หลง (ตัณหาราคะ) นั้น ราคะคือ สิ่งที่กำจัดยากที่สุด และมักเป็นกิเลส ตัวสุดท้ายที่จะสามาระละได้)
เปรียบดังสิ่งเสพติดทั้งปวง นั้นหากจิตคิดอยากเลิก นั้นก็สามารถเลิกได้ทันที แต่ กามราคะนั้นเลิกยาก เพราะเป็นความต้องการระดับสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ซึ่งมันจะคอยเข้ามากวนจิตใจเราอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ กามราคะนั้น เปรียบเสมือนสิ่งที่จะเข้ามาย้อมจิตของเราให้เศร้าหมอง เพราะมันเกิดจากการปรุงแต่งจิต สิ่งสวยงามที่เห็นและสัมผัสได้นั้น ดูเป็นสิ่งสวยงาม แลดูสะอาดตา แต่ความจริงนั้น เป็นรูปที่ชั่วช้า สกปรก เปรียบดัง อสุภ (ซากศพ)
สมาธินั้นก็สามารถตั้งมั่นแห่งจิตได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต้องใช้ปัญญาช่วย (พระพุทธเจ้าตอบในพระสูตรว่า ฉลาดในฌาณ)
โดยตอนที่แล้ว ได้อธิบายว่า สมาธิที่ใช้อุบายกรรมฐาน เพื่อลด ละกิเลส ด้านราคะนั้นคือ อสุภกรรมฐาน โดยพิจารณาส่วนที่ไม่สวยไม่งาม นั่นคือ ใช้ปัญญาเพื่่อ เพ่งพิจารณาให้เห็นโทษของมันมากกว่า เพราะกามราคะจะก่อให้เกิดทุกข์ และพิจารณาความเป็นจริงของราคะ ก็จะพบว่า มันคือสิ่งที่อยู่ใต้ผิวหนังนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งโสโครก เน่าเหม็นเท่านั้น
สิ่งสำคัญคือ ต้องพยายามอยู่ให้ห่าง จากกามราคะ เพราะราคะนั้นเกิดขึ้นสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้น จิตของเราจะไปร่วมมือกับราคะเพื่อปรุงแต่งจิตกับกามราคะนั้นๆ ด้วย (ราคะในที่นี้จะรวมทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์จากจิตด้วย)
นั่นเปรียบเสมือน กับที่เห้งเจีย(ปัญญา) และซัวเจ๋ง (สมาธิ) นั้นได้ช่วยโป๊ยก่าย (ศีล) ลงมาจากต้นไม้
สัมมาปริพพาชนิยสูตร พระสูตรบนนี้จะตรงกับ ไซอิ๋วตอนนี้มากที่สุด ขอสรุปสั้นๆ ดังนี้
(พระสูตรนี้ ยาวมาก ขอแปลแบบย่อๆ หากผิดพลาดต้องขออภัย และหากสงสัยรบกวนหาอ่านฉบับเต็ม)
เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่า ผู้มีปัญญามาก สามารถถึงฝั่งพระนิพพานแล้ว ท่านบรรเทาราคะได้อย่างไร
พระพุทธเจ้า ตอบ
พระภิกษุใด สามารถลดละเลิกกิเลสได้ ทั้งมนุษย์และเทวดา ย่อมตรัสรู้ธรรมแล้ว
พระภิกษุใด สามารถสิ้นอาสวะ(กิเลสที่ติดอยู่ในสันดาน) อันเป็นธรรมชาติแห่งราคะ โดยไม่ต้องพยายามแล้ว มีจิตตั้งมั่นแล้ว ภิกษุท่านนั้นย่อมเห็นมรรค ไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฐิ(ความคิด ความเห็น) ในสัตว์
พระภิกษุใด หากสามารถดับสังขาร (แปลว่า ความคิดที่ปรุงแต่งจิต)ได้ จะต้องมีความชำนาญในธรรม และฉลาดในฌาณ
พระภิกษุใด สามารถรู้บทแห่งสัจจะทั้งหลาย ภิกษุนั้น ตรัสรู้ธรรม เห็นการละอาสวะ(กิเลสระดับรากลึก) เป็นนิพพาน ไม่ข้องอยู่ในภพไหน เพราะสิ้นอุปธิ (กิเลสและกรรม) ทั้งปวง
เทวดาจึงตอบกลับว่า เห็นสมควรเช่นนั้น
โป๊ยก่ายถูกหลอกบ่อยมาก คงจะสื่อว่า ศีลคนเรานั้น พร่อง เสื่อมได้ง่าย
ตอบลบถูกต้องตามนั้นครับ
ลบ