วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 15 ปีศาจกระดูกขาว

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 15 ปีศาจกระดูกขาว
นางปีศาจกระดูกขาว (白骨精 แปลว่า จิตกระดูกขาว) เป็นปีศาจที่ต้องการจะกินเนื้อของ พระถังซัมจั๋ง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่ตาย นางจึงออกอุบายด้วยการปลอมตัวอยู่หลายหน ครั้งแรกแปลงกายเป็นหญิงสาวมามอบผลไม้อาบยาพิษให้ พระถังซัมจั๋ง และลูกศิษย์ เห้งเจีย รู้ว่านางคือปีศาจ เขาจึงใช้กระบองหยู่อี้ฟาดไปที่หัวปีศาจ แต่ปีศาจถอดร่างทิ้งศพแล้วหนีไป ทุกคนมองว่า เห้งเจียทำเกินกว่าเหตุ  นางปีศาจรีบแปลงกายเป็นหญิงชรามาหลอกอีกครั้ง แต่ เห้งเจีย ก็จับผิดนางได้อีก ตีนางตายเป็นครั้งที่ 2 ทุกคนต่างโกรธ เห้งเจีย มากที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์สองครั้งติดกัน นางปีศาจไม่ละความพยายาม กลับมาอีกครั้ง หนนี้นางแปลงกายมาเป็นชายชรามา เห้งเจีย เห็นจึงฆ่าปีศาจตนนี้จนตาย เพื่อให้นางคืนร่างเดิม เพื่อให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ว่า นาง คือ ปีศาจกระดูกขาว ทำให้พระถังซัมจั๋ง รอดจากการถูกกินมาได้

แต่ทุกคนกลับเชื่อว่า เห้งเจีย ใช้คาถาเสกให้ศพกลายเป็นกองกระดูก ทำให้พระถังนั้น ตำหนิ เห้งเจีย และภาวนาบีบศีรษะไล่เห้งเจียไป  ทำให้ เห้งเจีย เสียใจและกลับไปที่ถ้ำ ฮัวกั่วซาน แล้วคณะก็เดินทางต่อ
                    (ระหว่างอ่านปริศนาธรรม รบกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)
เนื้อเรื่องไซอิ๋ว
คณะออกเดินทางมาซักพัก พระถังก็สั่งเห้งเจียว่า อาตมาเริ่มหิวแล้ว เจ้าจงไปบิณฑบาตให้ด้วย เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปแลเห็นลูกพลับก็เหาะไปเก็บมาให้ ทันใดนั้นก็มีปีศาจตนหนึ่ง ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า จะมีพระภิกษุเดินทางไปไซที ซึ่งเป็นกิมเสียนโพธิสัตว์ได้บวชมา 10 ชาติกลับชาติมาเกิด หากใครได้ทานเนื้อพระถังแล้วอายุจะยืนยาว กำลังผ่านหุบเขานี้ ปีศาจครุ่นคิด หากเข้าไปจับตรงๆ ก็จะไม่สามารถฝ่าด่านลูกศิษย์ทั้ง 3 ได้แน่นอน จึงออกอุบาย แปลงตัวเป็น หญิงสาวสวยถืออาหารและผลไม้มาถวาย

พระถังก็ถามไถ่ว่า โยมมีเหตุอันใดจึงมาถวายทาน ปีศาจปลอม จึงบอกว่า นี่เป็นภูเขา จั่วฮ่วยทู้เป็ด ยอดเขาเรียกว่า แปะเอ้าเนี้ย ครอบครัวข้า บิดา มารดา และข้าล้วนเป็นคนใจบุญ วันนี้ข้าได้พบพระอาจารย์นับว่ามีบุญจึงได้นำอาหารมาถวายแด่ท่าน

โป๊ยก่าย เห็นอาจารย์ลังเล จึงเข้าไปแย่งอาหารมาเพื่อรีบกินอาหาร แต่ทันใดนั้น เห้งเจีย กลับมาพอดี เสกกระบองฟาดไปที่หัวของปีศาจ ทำให้พระถังตกใจมาก เห้งเจีย บอกว่า อาจารย์ นี่มันเป็นปีศาจเจ้าเล่ห์แปลงกายมา แต่พระถังไม่เห็นด้วย เห้งเจียจึงประชดว่า เพราะท่านเห็นว่าเป็นสาวสวย หากท่านสนใจใยไม่วิวาห์แล้วยกเลิกการเดินทาง ข้าจะได้กลับไปถ้ำของข้า พระถังทั้งอายทั้งโกรธต่อคำพูดของเห้งเจีย ปีศาจตัวนี้ก็อาศัยที่คณะกำลังถกเถียง แปลงกายถอดร่างกลายเป็นลมหนีออกไปทิ้งศพไว้ เห้งเจีย ชี้ไปที่อาหารที่สาวนั้นนำมาถวาย ก็พบ มีแต่หนอน ไส้เดือน กิ้งกือเต็มไปหมด

แต่โป๊ยก่ายที่ยังโกรธเห้งเจีย จึงพูดว่า ศิษย์พี่กลัวอาจารย์จะลงโทษ เลยรีบเสกคาถาให้อาหารกลายเป็นสิ่งโสโครก หญิงสาวเป็นเพียงชาวนา ใยศิษย์พี่ต้องว่าเขาเป็นปีศาจด้วย พระถังก็ภาวนามนตร์บีบศีรษะเห้งเจีย  แล้วกล่าวว่า ต่อไปนี้ข้ากับเจ้าขาดกัน ข้าไม่อาจเอาเจ้าเป็นศิษย์ได้อีก เห้งเจียร้องทรมานมาก พร้อมกับกราบขอร้องอาจารย์ว่า ไม่ให้ข้าไปไซที ท่านจะไปไม่ถึงไซทีนะ พระถังตอบกลับว่า ชีวิตข้าขึ้นอยู่กับฟ้าดิน ใยต้องให้เจ้าต้องช่วยพ้นความตาย  เห้งเจียกราบอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า อาจารย์ข้าผิดไปแล้ว ข้ากลับไปไม่ได้ เพราะข้ายังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่าน พระถังจึงถามว่า เจ้าติดหนี้บุญคุณอะไรข้า เห้งเจีย ตอบกลับว่า ครั้้นเก่า ข้าไปอาละวาดบนสวรรค์ โดนลงโทษเอาภูเขาทับไว้ทรมานมาก ได้อาจารย์มาช่วยให้พ้นทุกข์ แต่ข้ายังไม่ตอบแทนบุญคุณท่าน คนทั่วไปรู้เข้า จะก่นด่าสาบแช่งข้าตราบชั่วฟ้า ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาข้าสักครั้ง พระถังได้ยินดังนั้น จึงสงสารและยกโทษให้

ปีศาจที่แอบหนีไปได้ก็ยังตามอยู่ห่างๆ และคิดว่า พระถังกำลังข้ามเขตของตนออกไป จึงรีบคิดอุบายอีกครั้ง ครั้งนี้แปลงเป็นหญิงแก่อายุ 80 ปี พร้อมเดินร้องไห้มา โป๊ยก่ายเห็นเข้า จึงได้แจ้งพระถังว่า แย่แล้ว มียายแก่เดินมาสงสัยจะมาตามหาลูกสาวเป็นแน่ เห้งเจีย มองไปทางหญิงแก่แล้วกล่าวว่า จะเป็นไปได้อย่างไร หญิงที่เพิ่งตายอายุแค่ 18 แต่ยายแก่นี่อายุประมาณ 80 แสดงว่า ยายนี่มีลูกตอน 60 มันเป็นปีศาจปลอมตัวมาแน่นอน พูดจบ เห้งเจีย ก็เดินนำหน้าไปขวางทางยายแก่ พร้อมรีบคว้ากระบองออกมาฟาดไปที่ยายแก่ ปีศาจก็รีบถอดร่างหนีออกไปได้อีกครั้ง

พระถังตกใจอีกครั้้ง พร้อมกับภาวนาคาถาบีบหัวเห้งเจียทันที แล้วพูดว่า ข้าสั่งสอนอะไรไปเจ้าก็ไม่เชื่อฟัง เห้งเจียร้องทรมานมาก พร้อมกับกล่าวว่า อาจารย์ไม่เห็นเหรอ นี่มันปีศาจ พระถังบอกว่า พูดจาเหลวไหล ปีศาจอะไรจะมากมายเพียงนี้ เห้งเจีย รีบกล่าวว่า เดิมข้าเป็นใหญ่ในถ้ำมีลูกน้องมากมาย แต่เมื่อตามอาจารย์มาก็มีห่วงรัดหัว หากข้ากลับไปพร้อมห่วง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อาจารย์ปล่อยข้าไปก็ได้ แต่ช่วยถอดห่วงที่ศีรษะให้ก่อน พระถังนั้น มีแต่คาถารัดห่วงไม่มีคาถาถอดห่วง จึงใจอ่อน ยอมยกโทษให้อีกครั้ง

ปีศาจเห็นว่า คณะเดินทางอีกนิดเดียวก็จะหลุดพ้นเขตแดนไปแล้ว จึงรีบแปลงกายเป็นตาเฒ่า พร้อมห่วงประคำ ปากท่องภาวนา พระถังเห็นจึงสรรเสริญว่า คนหมู่บ้านนี้เป็นคนใจบุญ ขนาดออกเดินทางยังภาวนาเจริญสมาธิ  แต่โป๊ยก่าย พูดดักคอว่า ภัยกำลังมา ท่านอาจารย์ ตาเฒ่านี้สงสัยจะเป็นพ่อและผัวของคนที่เราเพิ่งตีตายไปแน่แท้

เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็รีบเดินไปที่ตาเฒ่าทันที แล้วก็ถามว่า ตาเฒ่า เจ้าจะไปไหน จะมาล่อลวงพวกเราเหรอ คงหลอกได้แต่คนอื่น แล้ว เห้งเจีย ก็คิดว่า ปีศาจตนนี้มาหลอก 2 ครั้งแล้วทำให้เราเจ็บปวด 2 ครั้ง ครั้งนี้ต้องตีให้ตาย เพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมกับเรียกเทพารักษ์ และเทวดามาเป็นพยานด้วย แล้วเห้งเจียก็หยิบกระบองมาตีจนตาย พระถังเห็นก็ตกใจอีกครั้ง ส่วนโป๊ยก่ายก็หัวเราะ ศิษย์พี่ฝีมือดีจริงๆ ครึ่งวันตีคนตายไป 3 คน

เห้งเจียรีบห้ามพระถังว่า อย่าเพิ่งภาวนา ให้รีบมาดูปีศาจ ว่า เพิ่งตายแท้ๆ ทำไมเหลือแต่กระดูก ปีศาจตนนี้ร้ายนัก ต้องตีให้ตายจีงกลับร่างเดิม เรียกว่า แปะกุ๊ดฮูหยิน (ไม้อกไก่) พระถังมาดูใกล้ๆ ก็เชื่อ แต่โป๊ยก่าย รีบพูดว่า ศิษย์พี่ กลัวท่านอาจารย์ภาวนา จึงรีบเสกคาถาให้ศพกลายเป็นกองกระดูก พระถังได้ยินดังนั้น จึงภาวนาอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่า เห้งเจีย เจ้าไปเถอะ ข้าสั่งสอนเจ้าไม่ได้อีกแล้ว คนดีเปรียบเสมือน ต้นหญ้า แม้ทำน้อยแต่นานไปก็ย่อมสูงขึ้น คนชั่วเปรียบเสมือนหินลับมีด นานไปมีแต่สึกหรอลง นี่วันเดียวเจ้าฆ่าคนไป 3 คน สันดานเจ้าดุร้ายมากไม่คิดละพยศ เราจะผ่อนผันได้อย่างไรเล่า เจ้าจงรีบไปจากข้าโดยเร็ว

เห้งเจียนั้น เสียใจมากที่อาจารย์ไปฟังคำสอพลอของโป๊ยก่าย แล้วกราบอาจารย์อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยว่า นับจากวันที่ข้าคำนับท่านเป็นอาจารย์ ข้าก็ช่วยท่านปราบปีศาจมากมาย ช่วยจับโป๊ยก่าย ช่วยซัวเจ๋งให้พ้นทุกข์ มาวันนี้ ท่านฟังคำสอพลอยุแยงให้ท่านโกรธข้า หากยามท่านใดเจอปีศาจ โป๊ยก่ายไม่สามารถสู้ได้ ข้าก็ยังช่วยท่านได้

พระถังได้ยินก็ยิ่งโกรธมาก ไปหยิบกระดาษมาเขียนสัญญาว่า ต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช้เจ้าอีกต่อไป แล้วก็ถามเห้งเจียว่า หรือจะให้ข้าปฎิญาณก็ได้ เห้งเจียได้ยินดังนั้น ก็ได้แต่ถอดใจ และกล่าวว่า ขออาจารย์นั่งลงเถอะ ข้าขอกราบลาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย แต่พระถังหันหลังให้ และกล่าวว่า ข้าเป็นสมณะ ไม่เหมาะที่จะรับไหว้จากคนหยาบช้า เห้งเจียจึงดึงขนมาเสกเป็นตนเองอีก 3 คน กราบลาทุกทิศ  และกล่าวว่า ข้าขอลาจากท่าน แล้วก็เหาะกลับมาที่ถ้ำ พร้อมกับร้องไห้กลับมาตลอดทาง

เมื่อกลับมาที่ถ้ำ ก็ถามไถ่ลิงน้อยว่า ลิงหายไปไหนหมด ลิงบอกว่า โดนนายพรานจับไปกินบ้าง จับไปเล่นละครบ้าง ทำให้ลิงที่เหลือต้องหลบซ่อนตัว พูดไม่ทันจบ ก็มีนายพรานนับร้อยมาที่ถ้ำ เห้งเจียก็เสกคาถาพายุฆ่านายพรานตายหมด พร้อมกับพูดว่า จริงอย่างที่พระอาจารย์ว่า ทำความดีนับพันวัน ยังไม่ค่อยจะพอ แต่ทำความชั่วเพียงวันเดียว ความชั่วกลับมากมายเหลือเกิน ข้าฆ่าปีศาจ 3 ตัวท่านว่า ข้าดุร้าย วันนี้เราทำเวรกรรม ฆ่าชีวิตไปมาก พูดเสร็จ ก็ให้ลูกลิงทั้งหลายทำความสะอาดถ้ำ ตั้งธง พร้อมกับประกาศว่า วันนี้ข้ากลับมาแล้ว พร้อมอิทธิฤทธิ์มากมาย จะขอตั้งตัวเป็นซีเทียนไต้เซียนดังเดิม

ปริศนาธรรม
สิ่งลวงใจปิดบังปัญญาไม่ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไซอิ๋ว ตอนนี้พูดถึงเรื่อง การหลอกลวง โดยนางปีศาจกระดูกขาว นั้น ปลอมมาเป็น หญิงสาวหน้าตาสวย ใช้ราคะเพื่อหลอกล่อ ต่อมาปลอมเป็นหญิงแก่ร้องไห้ ใช้ความสงสารมาหลอกล่อ สุดท้ายปลอมเป็นผู้ถือศีล ใช้ความน่าเชื่อถือ มาหลอกล่อ

นั่นคือ การหลอกลวง นั้นเข้ามาได้หลายรูปแบบ จึงพึงใช้ปัญญา (เห้งเจีย) เพ่งพิจารณาให้มาก

อีกประเด็นสำคัญของผู้แต่งไซอิ๋วนั้น จงใจพูดถึงการประจบสอพลอของ โป๊ยก่าย ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ก็เปรียบการประจบประแจง เสมือน การหลอกลวง เช่นกัน เพราะพระถังมีการกล่าวอ้างถึงต้นอ้อ ด้วย และยังมีเห้งเจียที่ใจยังกระด้าง ที่จะไปไม่ถึงไซที (นิพพาน) ดังพระสูตร กุหนาสูตร บทที่ 1 นกุหนาสูตร บทที่ 1 และ 2 (ผมย่อให้อ่านง่าย หากใครสนใจพระสูตรฉบับเต็มต้องหาอ่านจากที่อื่นนะครับ)

นั่นคือ กุหนาสูตร บทที่ 1 ( กุ แปลว่า หลอกลวง โกหก จึงเป็นพระสูตรว่าด้วยเรื่องการหลอกลวง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเป็นผู้หลอกลวง มีใจกระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วยกิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจไม้อ้อสูงขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ไม่นับถือเรา ภิกษุเหล่านั้นปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ไม่หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนักปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจตั้งมั่นดี ภิกษุเหล่านั้นแลเป็นผู้นับถือเรา ไม่ปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ และย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ

นกุหนาสูตรที่ 1 และ 2
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ ภิกษุไม่อยู่ประพฤติเพื่อจะหลอกลวงชน ไม่อยู่ประพฤติเพื่อประจบคน ไม่อยู่ประพฤติเพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ สักการะ ความสรรเสริญ ไม่อยู่ประพฤติด้วยคิดว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่แท้พรหมจรรย์นี้ ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติเพื่อการสำรวมและเพื่อการละ ฯ

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์เครื่องกำจัดจัญไร อันเป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือ นิพพาน เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ ทางนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีประโยชน์ใหญ่ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงดำเนินไปแล้ว ชนเหล่าใดๆ ย่อมปฏิบัติพรหมจรรย์นั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นๆ ผู้กระทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา จักกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น