วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 16 ปีศาจเสื้อเหลือง

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 16 ปีศาจเสื้อเหลือง
ปีศาจเสื้อเหลือง  (黃袍怪) อาศัยในถ้ำคลื่นจันทร์ (波月洞) ที่ภูเขาอั้วจื้อซัว(碗子山) ภายในอาณาจักรแห่ง เป่าเซี่ยงก๊ก  (寶象國 ทรัพย์สมบัติ) เดิมเขาเป็หนึ่งในดาวฤกษ์ทั้ง 28 ชื่อ ดาวกุยแซ (奎木狼) เขาไปตกหลุมรักนางฟ้าเง็กหนึง (玉女) ที่อยู่บนสวรรค์ ฝ่ายหญิงมาจุติบนโลก ชื่อ แป๊ะฮ่องเซียว (百花羞) เป็นเจ้าหญิงไป่แห่งเมืองเป่าเซี่ยง (Baoxiang ทรัพย์สมบัติ) เขาจึงหนีจากสวรรค์ลงมาบนโลก ทำให้เขากลายมาเป็นปีศาจเสื้อเหลือง หรืออึ้งเพ้าไต้ฮ่อง(黃袍怪) แล้วไปลักพาตัวเจ้าหญิงไป เพื่อข่มขืนแล้วอยู่กินกับเธอ และมีลูกด้วยกัน 2 คน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง ตอนเริ่มเรื่อง เขาก็จับพระถังได้ เนื่องจาก โป๊ยก่ายแอบไปหลับและซัวเจ๋งไปตามโป๊ยก่าย ทำให้พระถังอยู่คนเดียวในป่า ศิษย์ทั้งคู่พยายามไปช่วยพระถัง แต่ทั้งคู่ก็ไม่สามารถสู้กับปีศาจได้ จึงต้องกลับไปขอร้อง เห้งเจีย แม้ว่าเห้งเจียจะมาสู้เองก็ไม่สามารถปราบได้ ต้องไปขอร้องเง็กเซียนฮ่องเต้ เมื่อเง็กเซียนรู้เรื่อง ก็ตรวจดูพบว่าดาวหายไป 1 ดวงเหลือเพียง 27 เท่านั้น จึงให้ดาวทั้ง 27 ภาวนาเรียกตัวขึ้นมาบนสวรรค์กลับมารับโทษเป็นผู้รักษาเตาหลอมของ ไท้เสียงเหล่ากุง (太上老君)

  (ระหว่างอ่านปริศนาธรรม รบกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)
เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
คณะเดินทางมายังป่าแห่งหนึ่ง คณะยังไม่ได้กินอะไรเลย พระถังซำจั๋ง จึงให้โป๊ยก่ายไปบิณฑบาตร เมื่อโป๊ยก่าย ออกไปแต่กลับไปแอบหลับ พอพระถังซำจั๋ง เห็นว่าโป๊ยก่ายหายไปนาน จึงให้ซัวเจ๋งไปตามหา พระถังซำจั๋งเมื่ออยู่คนเดียว ก็เดินไปรอบๆ  สายตามองไปเห็นเจดีย์และอารามจึงเดินเข้าไปเพื่อหวังนมัสการ แต่เมื่อเข้าไปกลับไปเจอปีศาจยักษ์
ปีศาจจึงสั่งให้บริวารจับพระถังมัดแล้วเอากลับไปยังถ้ำคลื่นจันทร์ เมื่อซัวเจ๋งไปพบกับโป๊ยก่าย ก็ต่อว่าโป๊ยก่ายว่า ที่มาหลับนอนทำให้เสียงานเสียการ ระหว่างนั้น ศิษย์ทั้งสองก็กลับมาไม่เห็นพระอาจารย์จึงออกตามหา  เมื่อมาถึงเจดีย์ก็เข้าไป ก็พบกับปีศาจ “อึ่งเพ้าไต้อ๋อง” หรือ ปีศาจเสื้อเหลือง  (黃袍怪) ปีศาจก็บอกว่า ข้าทำบุญเลี้ยงอาหารทุกวัน หากทั้งคู่ไม่รังเกียจก็เชิญมาทานอาหารด้วยกัน แต่โป๊ยก่าย กับซัวเจ๋งไม่ฟังเสียง เข้ารุมสู้ทันที แต่ไม่รู้แพ้รู้ชนะกัน
กลับมาที่ภายในถ้ำ มีหญิงสาวคนหนึ่ง เดินเข้ามาพบพระถังถูกมัด จึงได้แก้เชือกให้ แล้วบอกกับพระถังว่า ตัวข้าไม่ใช่ปีศาจ แต่เดิมเป็นเจ้าหญิงอยู่เมืองเป่าเซี่ยงก๊ก  (寶象國 ทรัพย์สมบัติ) แต่ปีศาจได้จับตัวข้ามาข่มขืนเป็นภรรยาปีศาจ เมื่อ 13 ปีที่แล้ว มีลูกด้วยกัน 2 คนชาย1 หญิง1 แต่ไม่เคยได้ส่งข่าวให้บิดาเลย และได้ถามว่าพระถังจะเดินทางไปไหน เมื่อทราบเรื่องว่าจะต้องผ่านเมืองของบิดา จึงได้เขียนจดหมายแล้วฝากพระถังไปแจ้งข่าวให้บิดาแล้ว ก๋งจู๊ (ชื่อแปลว่า น่ารักกว่าดอกไม้ ) ก็มาหน้าถ้ำเห็นกำลังสู้รบกันอยู่ ก็เรียกสามีมาบอกว่า ก่อนแต่งได้อธิฐานต่อหน้าพระว่า “ชาตินี้ขอให้ได้สามีที่แสนดี จะทำบุญใหญ่ถวาย ครั้งนี้ข้าได้ท่านอึ้งเพ้าเป็นสามีที่แสนดี เมื่อครู่ข้านอนฝันว่า มีพระท่านมาทวงคำอธิฐานในครั้งนั้น ตื่นมาข้าเห็นพระภิกษุท่านหนึ่งถูกมัด ข้าจึงมาขอให้ท่านสามีช่วยปล่อยพระภิกษุไปเพื่อแก้คำอธิฐานให้ข้า ท่านเห็นสมควรหรือไม่”

อึ้งเพ้าไต๋อ๋องนั้นเป็นคนรักเมียมาก ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า “ต้องสงสัยไปใยเล่า ตามแต่ภรรยาจะประสงค์เถอะ” แล้วปีศาจก็เรียก ซัวเจ๋งกับโป๊ยก่ายมาบอกว่า “ข้าไม่ได้แพ้พวกเจ้านะ แต่เมียข้าปล่อยอาจารย์เจ้าไปแล้วอยู่หลังถ้ำ พวกเจ้าไปรับอาจารย์ที่หลังถ้ำเถอะ"

เมื่อคณะรวมกันได้อีกครั้งก็เดินทางมาถึงเมือง เป่าเซียงก๊ก ที่มีความวิจิตรพิศดารมาก เมื่อมาถึงก็ยื่นหนังสือของพระเจ้าถังไท้จง เพื่อขอเฝ้าเจ้าเมืองทันที และได้ไต่ถามเรื่องลูกสาวของเจ้าเมืองที่ถูกปีศาจลักพาไป 13 ปีก่อน พร้อมกับยื่นจดหมายที่ลูกสาวฝากให้ท่านเจ้าเมือง ภายนอกจดหมายเขียนว่า “ความสุข” ภายในจดหมายเขียนว่า “ข้าถูกปีศาจจับไปเมื่อ 13 ปีก่อนในคืนวันเพ็ญ เดือน 8ทำให้ข้าไม่สามารถตอบแทนบุญคุณท่าน จึงขอให้ท่านส่งทหารมาปราบปีศาจ เพื่อช่วยเหลือข้าจากปีศาจ” เมื่อเจ้าเมืองอ่านจบก็น้ำตาไหล และประกาศขออาสาจากเหล่าขุนนาง เหล่าขุนนางตอบกลับว่า "พวกข้าแม้จะฝึกยุทธ์ และตำราพิชัยสงคราม มามากมาย ก็ไม่สามารถนำไปปราบปีศาจได้ จึงขอให้ท่านผู้วิเศษคือ พระถังผู้มีบุญญาธิการช่วยไปปราบแทนด้วยเถอะ" พระถังจึงบอกว่า ข้ามาถึงที่นี่ได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของศิษย์สองคน
เจ้าเมืองจึงรับสั่งให้ศิษย์ทั้งสองไปช่วยปราบปีศาจแล้วจะตอบแทนรางวัลให้ ซัวเจ๋ง และโป๊ยก่ายจึงรีบเหาะไปถ้ำของปีศาจ แล้วเข้าสู้รบกับปีศาจเสื้อเหลืองทันที แต่ว่า ทั้งสองสู้ไม่ได้  โป๊ยก่ายนั้นหนีออกมาก่อน ทำให้ซัวเจ๋งพลาดท่าโดนจับมัดตัวไว้ที่ถ้ำของปีศาจ

ปีศาจเสื้อเหลือง สงสัยว่า ทำไมทั้งสองจึงกลับมาสู้รบอีก เพราะปล่อยตัวพระถังไปแล้ว โดยสงสัยในตัวภรรยา จึงเดินไปถามว่า นางแพศยา ภรรยาจึงถามกลับว่า "โกรธเรื่องอะไร" ปีศาจจึงตอบว่า ตั้งแต่ข้านำตัวเจ้ามาที่นี่ เจ้าอยากได้อะไรข้าไปนำมาให้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเสื้อผ้า ทรัพย์สิน เงินทอง แม้แต่มงกุฎทองที่เจ้าสวม แต่ในใจเจ้าคิดถึงแต่พ่อแม่ ไม่คิดถึงข้าเลย วันนี้ เจ้าปล่อยพระถังไป ฝากจดหมายไปบอกพระราชารึเปล่า ภรรยาก็แกล้งเฉไฉ ปีศาจจึงบอกว่า ข้าจับพยานได้หนึ่งคนข้าจะไปถามไถ่ดู พูดจบก็จิกหัวนางลากไปต่อหน้าซัวเจ๋ง แล้วถามกับซัวเจ๋งว่า “ที่กลับมารนหาที่ตายอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ข้าปล่อยไปรอบหนึ่ง เพราะภรรยาข้าแอบส่งจดหมายให้เจ้าเมืองใช่หรือไม่”  ซัวเจ๋งนั้นเห็นนางกำลังโดนทรมานก็เข้าใจทันที จึงแกล้งตอบไปว่า “อาจารย์ข้าไปเห็นรูปในวัง เห็นว่าหน้าตาเหมือนนางจึงถามเจ้าเมืองว่า นี่ใครกัน จึงรู้ความ เจ้าจะฆ่าข้าก็รีบฆ่าข้าเสีย อย่าเสียเวลาไปฆ่านางผู้ซึ่งซื่อสัตย์ เลย”

ปีศาจเสื้อเหลืองได้ยินดังนั้น ก็รีบยกนางขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ขอโทษขอโพยภรรยาสุดที่รักทันที แล้วพูดว่า “ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าโมโหขึ้นมาทีไรขาดสติทุกที ขอภรรยาจงอภัยให้ข้าด้วย” พูดจบก็จัดโต๊ะเลี้ยงอาหารและสุราทันที แล้วบอกกับภรรยาว่า “พระถังอยู่ที่วังในเมือง ข้าต้องการไปเยี่ยมพ่อตา (เจ้าเมือง)”  ภรรยาบอกว่า “อย่าไปเลยรูปร่างหน้าตาท่านไปแล้ว บิดาข้ามีแต่จะกลัวท่าน” ปีศาจเสื้อเหลืองจึงแปลงกายเป็นหนุ่มรูปงาม ภรรยาเห็นดังนั้น ก็กล่าวเตือนว่า “หากท่านดื่มสุรา ท่านจะกลับคืนร่างนะให้ระวังเรื่องนี้ด้วย  แล้วก็อนุญาตให้ปีศาจเสื้อเหลืองไปเยี่ยมพ่อตา”

เมื่อเข้าเมืองมา ก็ขอเข้าเฝ้าเจ้าเมืองทันที เพราะเขาคือ ลูกเขยคนที่สาม เจ้าเมืองอดใจไม่ได้จึงถามไถ่ว่า “ทำไมเจ้าถึงบอกว่า เจ้าเป็นลูกเขยข้า”  ปีศาจที่ปลอมมาจึงทูลเท็จว่า “เมื่อ 13 ปีก่อน ข้าเห็นเสือคาบลูกสาวท่านมา จึงได้จับปีศาจเสือขังไว้ แล้วอยู่กินกับลูกสาวท่าน แต่ข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาไม่กล้าสู้หน้าท่าน จึงปล่อยเเรื่องนี้ให้เนิ่นนาน แต่วันก่อน เสือที่ข้าจับไว้นั้นได้หลุดออกมา ได้ข่าวว่า มันปลอมตัวเป็นพระอ้างว่ามาจากเมืองถัง พูดจบก็เสกให้พระถังเป็นเสือ
เจ้าเมืองเห็นดังนั้น จึงสั่งลูกน้องจับพระถังที่เป็นเสือไปขังไว้ในกรง ม้าขาวทนไม่ไหว จึงแปลงร่างเป็นมังกรหนีออกมาแล้วแปลงเป็นหญิงแอบไปลอบฆ่าปีศาจ แต่ปีศาจรู้ทัน ฟันไปที่หญิง ต้องรีบแปลงร่างกลับเป็นมังกรหนีลงน้ำ ก่อนที่จะแปลงกลับมาเป็นม้าอีกครั้ง

โป๊ยก่ายกลับเข้าเมืองก็เห็นว่า ซัวเจ๋ง ถูกปีศาจจับ ม้าขาวก็ถูกทำร้ายเจียนตาย พระถังก็ถูกขัง โป๊ยก่ายจึงร้องไห้เสียใจมาก จึงตัดสินใจเหาะไปหา เห้งเจีย ที่ถ้ำม่านน้ำ แล้วก็เล่าเรื่องให้เห้งเจียฟัง เห้งเจียรีบออกตัวว่า “ข้าไม่สามารถไปช่วยได้เพราะท่านอาจารย์สั่งไว้” โป๊ยก่าย ไหวพริบดี รีบชิงบอกว่า ที่ท่านเคยบอกว่า “หากเจอปีศาจ ให้อ้างชื่อท่าน แต่ปีศาจตนนี้ เมื่อข้าอ้างชื่อท่านไป มันกลับบอกว่าจะจับลิงมาต้มกิน” เห้งเจียโมโหมาก รีบเหาะมากับโป๊ยก่ายไปที่ถ้ำของปีศาจ เจอแต่ภรรยา จึงปลดมัดซัวเจ๋ง โดยภรรยาบอกว่า ปีศาจตนนี้มีอิทธิฤทธิ์มากเพราะมียาวิเศษที่อมไว้ในปาก 

เห้งเจียคิดแผนได้ ไล่ให้ศิษย์น้องสองคนกลับไปก่อนพร้อมกับจับลูกของทั้งคู่กลับไปที่เมือง ระหว่างนั้น ปีศาจกินเหล้าในวังเลยแปลงร่างกลับเป็นปีศาจ โป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งไปเห็นเข้าก็จับทุ่มเด็กจนเสียชีวิตทั้งคู่   ปีศาจเห็นก็ตกใจแล้วรีบกลับมาที่ถ้ำ ก็พบว่า เมียรักนอนสลบอยู่ จึงเอายาวิเศษในปากมาวนทั่วตัว เมื่อนางฟื้นก็บอกว่า โป๊ยก่าย มาช่วยซัวเจ๋งไปแล้ว  พอปีศาจเผลอ ภรรยาก็เอายาวิเศษเข้าปาก แล้วเผยตัวว่าเป็นเห้งเจียแปลงตัวมา เมื่อทั้งคู่เจอกัน ปีศาจก็ร้องว่า “เคยเจอกันที่ไหนมาก่อน” เห้งเจียไม่สนใจก็เข้าต่อสู้ แต่ปีศาจรีบหนีไปหลบซ่อน เห้งเจียได้ยินว่าเคยเจอกันมาก่อนจึงสงสัย ว่าแล้วก็ขึ้นไปบนสวรรค์ไปถามไถ่ที่มาของปีศาจตนนี้ เมื่อทูลถามเง็กเซียนฮ่องเต้ ก็ได้ความว่า เดิมเป็นดาวกุยแซ 1ใน 28 ดาวฤกษ์  จึงได้ให้ดาวทั้ง 27 ช่วยกันภาวนาเรียกกลับขึ้นมารับโทษ เมื่อดาวทั้ง 27 ช่วยกันภาวนา ดาวกุยแซก็จำต้องขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อรับโทษ เง็กเซียนฮ่องเต้จึงถามว่า อยู่บนสวรรค์บรมสุข แต่ทำไมจึงลงไปจุติเป็นปีศาจ ดาวกุยแซจึงตอบว่า เดิมข้าสมัครใจผูกพันธ์กับนางฟ้าเง็กนึ้ง ข้ากลัวทำให้สวรรค์มัวหมอง เมื่อเห็นนางลงไปจุติเป็นนางก๋งจู๊ ลูกสาวเจ้าเมือง ข้าจึงแปลงกายเป็นปีศาจไปลักพาตัวนางมา บัดนี้ข้าโดนจับได้ข้าขอยอมรับโทษทั้งหมด เง็กเซียนฮ่องเต้จึงได้ถอดยศดาวกุยแซออก แล้วส่งไปอยู่กับไท้เสียงเหล่ากุง โดยให้ไปคอยสุมไฟเอาคุณไถ่โทษ

เมื่อปราบปีศาจสำเร็จ เห้งเจียก็มาช่วยพระถัง เมื่อเห้งเจียพบอาจารย์ก็กล่าวว่า “เพราะความใจดีของท่าน ทำให้ท่านต้องเป็นเช่นนี้”  โป๊ยก่าย จึงกล่าวว่า “อย่าซ้ำเติมท่านอาจารย์เลย” เห้งเจีย จึงต่อว่า “พวกเจ้ามีหน้าที่ดูแลอาจารย์ก็ดูแลต่อไป ข้าจะกลับละ” ซัวเจ๋งรีบกราบ เห้งเจีย แล้วบอกว่า “ไม่เห็นแก่พระสงฆ์ก็เห็นแก่พระโพธิสัตว์เถอะ ข้าขอร้องท่านพี่ละ”  เห้งเจียจึงพรมน้ำมนต์ให้อาจารย์กลับร่างเป็นคน เมื่อพระถังออกมาจากกรงได้ก็กล่าวขอโทษเห้งเจีย แล้วคืนนั้น ทั้งหมดก็เลี้ยงฉลองกัน แล้วออกเดินทางต่อไป

ปริศนาธรรม 
ผู้แต่ง แสดงให้เห็นว่า เมื่อขาดปัญญา(เห้งเจีย) การเดินทางไปสู่นิพพานก็ยากที่จะสำเร็จ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ ผู้แต่ง เน้นไปที่เรื่องของ “ความสุข” โดยในพระไตรปิฎกนั้น ได้แยกความสุขเป็นหลายอย่าง

ต้นเรื่องนั้น อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น มาลักพาตัวนางก๊กจู๋ไปเป็นเมีย ในคืนวันเพ็ญ เดือน 8 (วันอาสาฬหบูชา วันที่มีพระสงฆ์ครั้งแรกในพุทธศาสนา) นั่นเป็นการเปรียบเปรยเรื่องการบวช กับ การครองเรือน ที่พระพุทธเจ้า กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เปรียบ ความสุขของคฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) ยังด้อยกว่า ความสุขของการบวช

ต่อมากล่าวว่า ความสุขที่มีกิเลส(หรืออาสวะ กิเลสระดับหมักหมมจนเข้าเป็นสันดาน) นั้น ด้อยกว่า ความสุขที่ปราศจากกิเลส (หรือ อาสวะ) ในตอนนี้ผู้แต่งจงใจให้ อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น เป็นตัวแทนของ ความสุขที่เจืออาสวะ  (กามสุข) เพราะเขานั้นหลงรักนางฟ้าตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ตามลงมายังโลกเพื่อข่มขืนนาง โดยกามสุขระดับกิเลสนั้น ศีล (โป๊ยก่าย) ก็น่าจะชนะได้ แต่ เพราะเป็นกิเลสระดับ อาสวะ ศีลจึงยากที่จะระงับอาสวะได้ ขณะที่หากใช้ ปัญญา (เห้งเจีย) เพ่งพิจารณาให้ดี แม้จะสามารถชนะได้ แต่ก็ชนะได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะกามสุขระดับอาสวะนั้นสามารถหลบซ่อนในจิตได้ตลอดเวลา โดยในพระไตรปิฎกนั้นเปรียบเทียบความสุขขั้นสูงนั้น ต้องเป็นระดับฌาณ 1-4 เพื่อละกิเลสและอาสวะได้ทั้งหมด

ขณะที่ให้ภรรยาของ อึ้งเพ้าไต้อ๋องนั้น เปรียบเสมือน ความสุขที่ปราศจากกิเลส นั่นคือ ความสุขที่ได้ทำบุญถวายโดยการปล่อยตัวพระถังไป ขณะที่เปรียบ เจ้าเมืองที่ร่ำรวย แม้จะมีราชวังมากมาย มีลูกน้องนับพัน แต่ก็ไม่มีความสุข (ลูกสาวที่เป็นตัวแทนของความสุข ไม่อยู่) ขณะที่ ข้าราชการในเมืองก็ยอมรับว่าความรู้ทางโลก (ไม่ว่าจะวิชายุทธ์หรือพิชัยสงคราม) ไม่สามารถกำจัด กามสุข ได้

นอกจากนี้ ลูกของกามสุข ทั้งสองคนนั้น เป็นชาย1 และหญิง 1  ที่เปรียบเสมือนชายหนุ่มหญิงสาว ทั่วโลกที่ยังคงเสพติดในกามสุขอยู่นั่นเอง โดยกามสุขระดับกิเลส นั้น โป๊ยก่าย( ศีล) ก็สามารถฆ่าได้  นั่นคือ โป๊ยก่ายจับลูกทั้งสองทุ่มตาย

ความสุข นั้นถือเป็น เจตสิก คือ การปรุงแต่งของจิต โดยต้องพิจารณาว่า ความสุขนั้นเกิดจากกิเลส (โลภโกรธหลง) หรืออาสวะ หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ความสุขที่ปราศจากกิเลส จะเป็นไปทางกุศล ที่มักจะมีส่วนประกอบของปัญญาด้วย เช่น ความสุขจากการทำทาน(ก๊กจู๊)  ศีล ภาวนา (ลูกสาวเจ้าเมืองอีก 2 คน) เป็นต้น

อย่างไรก็ดี การเสพติดอารมณ์นั้น จะทำให้เราตกเป็นทาสของอารมณ์โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราต้องมี สัมมาทิฐิ (แนวคิดที่ถูกต้อง) และ (สัมมาสังกัปปะ ความนึกคิดที่ถูกต้อง เป็น 1 ในมรรค 8 ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การไม่คิดเกี่ยวกับโลภ พยาบาท เบียดเบียน) โดยสิ่งที่ตรงข้าม จะเป็น มิจฉาสังกัปปะ

โดยแนวคิดที่ถูกต้อง นั่นจะต้องเป็นแนวคิดที่ปลอดโปร่ง มีอิสระ ไม่มีทั้งความชอบใจ ไม่ยึดติด ไม่มีความชอบใจหรือไม่ชอบใจ นั่นคือ การใช้ปัญญาในทางที่ถูกต้อง

ในพระไตรปิฎกนั้น เปรียบเทียบความสุขไว้ดังนี้
(เช่นเดิมผมย่อมาให้อ่านเข้าใจง่าย ใครสนใจควรหาฉบับเต็มอ่านนะครับ)
ความสุขของคฤหัสถ์ (ชาวบ้าน) ย่อมด้อยกว่า ความสุขที่เกิดจากบรรพชา
กามสุข  ย่อมด้อยกว่า เนกขัมมสุข (การบวช)
สุขเจือกิเลส ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่เจือกิเลส
สุขที่มีอาสวะ (กิเลสระดับสันดาน) ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่มีอาสวะ
สุขที่อิงอามิส ย่อมด้อยกว่า สุขที่ไม่อิงอามิส (สิ่งล่อ)
สุขของปุถุชน ย่อมด้อยกว่า สุขของอริยเจ้า
กายิกสุข ย่อมด้อยกว่า เจตสิกสุข
สุขอันเกิดจากฌาณ 1 ที่ยังมีปิติ ย่อมด้อยกว่า สุขอันเกิดจากฌาณ 1 ที่ไม่มีปิติ
สุขอันเกิดจากความยินดี ย่อมด้อยกว่า สุขอันเกิดจากความวางเฉย
สุขอันไม่ถึงสมาธิ ย่อมด้อยกว่า สุขอันเข้าถึงสมาธิ       

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 15 ปีศาจกระดูกขาว

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 15 ปีศาจกระดูกขาว
นางปีศาจกระดูกขาว (白骨精 แปลว่า จิตกระดูกขาว) เป็นปีศาจที่ต้องการจะกินเนื้อของ พระถังซัมจั๋ง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เป็นอมตะ ไม่แก่ ไม่ตาย นางจึงออกอุบายด้วยการปลอมตัวอยู่หลายหน ครั้งแรกแปลงกายเป็นหญิงสาวมามอบผลไม้อาบยาพิษให้ พระถังซัมจั๋ง และลูกศิษย์ เห้งเจีย รู้ว่านางคือปีศาจ เขาจึงใช้กระบองหยู่อี้ฟาดไปที่หัวปีศาจ แต่ปีศาจถอดร่างทิ้งศพแล้วหนีไป ทุกคนมองว่า เห้งเจียทำเกินกว่าเหตุ  นางปีศาจรีบแปลงกายเป็นหญิงชรามาหลอกอีกครั้ง แต่ เห้งเจีย ก็จับผิดนางได้อีก ตีนางตายเป็นครั้งที่ 2 ทุกคนต่างโกรธ เห้งเจีย มากที่ฆ่าผู้บริสุทธิ์สองครั้งติดกัน นางปีศาจไม่ละความพยายาม กลับมาอีกครั้ง หนนี้นางแปลงกายมาเป็นชายชรามา เห้งเจีย เห็นจึงฆ่าปีศาจตนนี้จนตาย เพื่อให้นางคืนร่างเดิม เพื่อให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ว่า นาง คือ ปีศาจกระดูกขาว ทำให้พระถังซัมจั๋ง รอดจากการถูกกินมาได้

แต่ทุกคนกลับเชื่อว่า เห้งเจีย ใช้คาถาเสกให้ศพกลายเป็นกองกระดูก ทำให้พระถังนั้น ตำหนิ เห้งเจีย และภาวนาบีบศีรษะไล่เห้งเจียไป  ทำให้ เห้งเจีย เสียใจและกลับไปที่ถ้ำ ฮัวกั่วซาน แล้วคณะก็เดินทางต่อ
                    (ระหว่างอ่านปริศนาธรรม รบกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)
เนื้อเรื่องไซอิ๋ว
คณะออกเดินทางมาซักพัก พระถังก็สั่งเห้งเจียว่า อาตมาเริ่มหิวแล้ว เจ้าจงไปบิณฑบาตให้ด้วย เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปแลเห็นลูกพลับก็เหาะไปเก็บมาให้ ทันใดนั้นก็มีปีศาจตนหนึ่ง ได้ยินชาวบ้านพูดกันว่า จะมีพระภิกษุเดินทางไปไซที ซึ่งเป็นกิมเสียนโพธิสัตว์ได้บวชมา 10 ชาติกลับชาติมาเกิด หากใครได้ทานเนื้อพระถังแล้วอายุจะยืนยาว กำลังผ่านหุบเขานี้ ปีศาจครุ่นคิด หากเข้าไปจับตรงๆ ก็จะไม่สามารถฝ่าด่านลูกศิษย์ทั้ง 3 ได้แน่นอน จึงออกอุบาย แปลงตัวเป็น หญิงสาวสวยถืออาหารและผลไม้มาถวาย

พระถังก็ถามไถ่ว่า โยมมีเหตุอันใดจึงมาถวายทาน ปีศาจปลอม จึงบอกว่า นี่เป็นภูเขา จั่วฮ่วยทู้เป็ด ยอดเขาเรียกว่า แปะเอ้าเนี้ย ครอบครัวข้า บิดา มารดา และข้าล้วนเป็นคนใจบุญ วันนี้ข้าได้พบพระอาจารย์นับว่ามีบุญจึงได้นำอาหารมาถวายแด่ท่าน

โป๊ยก่าย เห็นอาจารย์ลังเล จึงเข้าไปแย่งอาหารมาเพื่อรีบกินอาหาร แต่ทันใดนั้น เห้งเจีย กลับมาพอดี เสกกระบองฟาดไปที่หัวของปีศาจ ทำให้พระถังตกใจมาก เห้งเจีย บอกว่า อาจารย์ นี่มันเป็นปีศาจเจ้าเล่ห์แปลงกายมา แต่พระถังไม่เห็นด้วย เห้งเจียจึงประชดว่า เพราะท่านเห็นว่าเป็นสาวสวย หากท่านสนใจใยไม่วิวาห์แล้วยกเลิกการเดินทาง ข้าจะได้กลับไปถ้ำของข้า พระถังทั้งอายทั้งโกรธต่อคำพูดของเห้งเจีย ปีศาจตัวนี้ก็อาศัยที่คณะกำลังถกเถียง แปลงกายถอดร่างกลายเป็นลมหนีออกไปทิ้งศพไว้ เห้งเจีย ชี้ไปที่อาหารที่สาวนั้นนำมาถวาย ก็พบ มีแต่หนอน ไส้เดือน กิ้งกือเต็มไปหมด

แต่โป๊ยก่ายที่ยังโกรธเห้งเจีย จึงพูดว่า ศิษย์พี่กลัวอาจารย์จะลงโทษ เลยรีบเสกคาถาให้อาหารกลายเป็นสิ่งโสโครก หญิงสาวเป็นเพียงชาวนา ใยศิษย์พี่ต้องว่าเขาเป็นปีศาจด้วย พระถังก็ภาวนามนตร์บีบศีรษะเห้งเจีย  แล้วกล่าวว่า ต่อไปนี้ข้ากับเจ้าขาดกัน ข้าไม่อาจเอาเจ้าเป็นศิษย์ได้อีก เห้งเจียร้องทรมานมาก พร้อมกับกราบขอร้องอาจารย์ว่า ไม่ให้ข้าไปไซที ท่านจะไปไม่ถึงไซทีนะ พระถังตอบกลับว่า ชีวิตข้าขึ้นอยู่กับฟ้าดิน ใยต้องให้เจ้าต้องช่วยพ้นความตาย  เห้งเจียกราบอีกครั้ง แล้วกล่าวว่า อาจารย์ข้าผิดไปแล้ว ข้ากลับไปไม่ได้ เพราะข้ายังไม่ได้ทดแทนบุญคุณท่าน พระถังจึงถามว่า เจ้าติดหนี้บุญคุณอะไรข้า เห้งเจีย ตอบกลับว่า ครั้้นเก่า ข้าไปอาละวาดบนสวรรค์ โดนลงโทษเอาภูเขาทับไว้ทรมานมาก ได้อาจารย์มาช่วยให้พ้นทุกข์ แต่ข้ายังไม่ตอบแทนบุญคุณท่าน คนทั่วไปรู้เข้า จะก่นด่าสาบแช่งข้าตราบชั่วฟ้า ขอพระอาจารย์โปรดเมตตาข้าสักครั้ง พระถังได้ยินดังนั้น จึงสงสารและยกโทษให้

ปีศาจที่แอบหนีไปได้ก็ยังตามอยู่ห่างๆ และคิดว่า พระถังกำลังข้ามเขตของตนออกไป จึงรีบคิดอุบายอีกครั้ง ครั้งนี้แปลงเป็นหญิงแก่อายุ 80 ปี พร้อมเดินร้องไห้มา โป๊ยก่ายเห็นเข้า จึงได้แจ้งพระถังว่า แย่แล้ว มียายแก่เดินมาสงสัยจะมาตามหาลูกสาวเป็นแน่ เห้งเจีย มองไปทางหญิงแก่แล้วกล่าวว่า จะเป็นไปได้อย่างไร หญิงที่เพิ่งตายอายุแค่ 18 แต่ยายแก่นี่อายุประมาณ 80 แสดงว่า ยายนี่มีลูกตอน 60 มันเป็นปีศาจปลอมตัวมาแน่นอน พูดจบ เห้งเจีย ก็เดินนำหน้าไปขวางทางยายแก่ พร้อมรีบคว้ากระบองออกมาฟาดไปที่ยายแก่ ปีศาจก็รีบถอดร่างหนีออกไปได้อีกครั้ง

พระถังตกใจอีกครั้้ง พร้อมกับภาวนาคาถาบีบหัวเห้งเจียทันที แล้วพูดว่า ข้าสั่งสอนอะไรไปเจ้าก็ไม่เชื่อฟัง เห้งเจียร้องทรมานมาก พร้อมกับกล่าวว่า อาจารย์ไม่เห็นเหรอ นี่มันปีศาจ พระถังบอกว่า พูดจาเหลวไหล ปีศาจอะไรจะมากมายเพียงนี้ เห้งเจีย รีบกล่าวว่า เดิมข้าเป็นใหญ่ในถ้ำมีลูกน้องมากมาย แต่เมื่อตามอาจารย์มาก็มีห่วงรัดหัว หากข้ากลับไปพร้อมห่วง ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อาจารย์ปล่อยข้าไปก็ได้ แต่ช่วยถอดห่วงที่ศีรษะให้ก่อน พระถังนั้น มีแต่คาถารัดห่วงไม่มีคาถาถอดห่วง จึงใจอ่อน ยอมยกโทษให้อีกครั้ง

ปีศาจเห็นว่า คณะเดินทางอีกนิดเดียวก็จะหลุดพ้นเขตแดนไปแล้ว จึงรีบแปลงกายเป็นตาเฒ่า พร้อมห่วงประคำ ปากท่องภาวนา พระถังเห็นจึงสรรเสริญว่า คนหมู่บ้านนี้เป็นคนใจบุญ ขนาดออกเดินทางยังภาวนาเจริญสมาธิ  แต่โป๊ยก่าย พูดดักคอว่า ภัยกำลังมา ท่านอาจารย์ ตาเฒ่านี้สงสัยจะเป็นพ่อและผัวของคนที่เราเพิ่งตีตายไปแน่แท้

เห้งเจียเห็นดังนั้น ก็รีบเดินไปที่ตาเฒ่าทันที แล้วก็ถามว่า ตาเฒ่า เจ้าจะไปไหน จะมาล่อลวงพวกเราเหรอ คงหลอกได้แต่คนอื่น แล้ว เห้งเจีย ก็คิดว่า ปีศาจตนนี้มาหลอก 2 ครั้งแล้วทำให้เราเจ็บปวด 2 ครั้ง ครั้งนี้ต้องตีให้ตาย เพื่อเป็นหลักฐาน พร้อมกับเรียกเทพารักษ์ และเทวดามาเป็นพยานด้วย แล้วเห้งเจียก็หยิบกระบองมาตีจนตาย พระถังเห็นก็ตกใจอีกครั้ง ส่วนโป๊ยก่ายก็หัวเราะ ศิษย์พี่ฝีมือดีจริงๆ ครึ่งวันตีคนตายไป 3 คน

เห้งเจียรีบห้ามพระถังว่า อย่าเพิ่งภาวนา ให้รีบมาดูปีศาจ ว่า เพิ่งตายแท้ๆ ทำไมเหลือแต่กระดูก ปีศาจตนนี้ร้ายนัก ต้องตีให้ตายจีงกลับร่างเดิม เรียกว่า แปะกุ๊ดฮูหยิน (ไม้อกไก่) พระถังมาดูใกล้ๆ ก็เชื่อ แต่โป๊ยก่าย รีบพูดว่า ศิษย์พี่ กลัวท่านอาจารย์ภาวนา จึงรีบเสกคาถาให้ศพกลายเป็นกองกระดูก พระถังได้ยินดังนั้น จึงภาวนาอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่า เห้งเจีย เจ้าไปเถอะ ข้าสั่งสอนเจ้าไม่ได้อีกแล้ว คนดีเปรียบเสมือน ต้นหญ้า แม้ทำน้อยแต่นานไปก็ย่อมสูงขึ้น คนชั่วเปรียบเสมือนหินลับมีด นานไปมีแต่สึกหรอลง นี่วันเดียวเจ้าฆ่าคนไป 3 คน สันดานเจ้าดุร้ายมากไม่คิดละพยศ เราจะผ่อนผันได้อย่างไรเล่า เจ้าจงรีบไปจากข้าโดยเร็ว

เห้งเจียนั้น เสียใจมากที่อาจารย์ไปฟังคำสอพลอของโป๊ยก่าย แล้วกราบอาจารย์อีกครั้งพร้อมกับเอ่ยว่า นับจากวันที่ข้าคำนับท่านเป็นอาจารย์ ข้าก็ช่วยท่านปราบปีศาจมากมาย ช่วยจับโป๊ยก่าย ช่วยซัวเจ๋งให้พ้นทุกข์ มาวันนี้ ท่านฟังคำสอพลอยุแยงให้ท่านโกรธข้า หากยามท่านใดเจอปีศาจ โป๊ยก่ายไม่สามารถสู้ได้ ข้าก็ยังช่วยท่านได้

พระถังได้ยินก็ยิ่งโกรธมาก ไปหยิบกระดาษมาเขียนสัญญาว่า ต่อไปนี้ข้าจะไม่ใช้เจ้าอีกต่อไป แล้วก็ถามเห้งเจียว่า หรือจะให้ข้าปฎิญาณก็ได้ เห้งเจียได้ยินดังนั้น ก็ได้แต่ถอดใจ และกล่าวว่า ขออาจารย์นั่งลงเถอะ ข้าขอกราบลาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย แต่พระถังหันหลังให้ และกล่าวว่า ข้าเป็นสมณะ ไม่เหมาะที่จะรับไหว้จากคนหยาบช้า เห้งเจียจึงดึงขนมาเสกเป็นตนเองอีก 3 คน กราบลาทุกทิศ  และกล่าวว่า ข้าขอลาจากท่าน แล้วก็เหาะกลับมาที่ถ้ำ พร้อมกับร้องไห้กลับมาตลอดทาง

เมื่อกลับมาที่ถ้ำ ก็ถามไถ่ลิงน้อยว่า ลิงหายไปไหนหมด ลิงบอกว่า โดนนายพรานจับไปกินบ้าง จับไปเล่นละครบ้าง ทำให้ลิงที่เหลือต้องหลบซ่อนตัว พูดไม่ทันจบ ก็มีนายพรานนับร้อยมาที่ถ้ำ เห้งเจียก็เสกคาถาพายุฆ่านายพรานตายหมด พร้อมกับพูดว่า จริงอย่างที่พระอาจารย์ว่า ทำความดีนับพันวัน ยังไม่ค่อยจะพอ แต่ทำความชั่วเพียงวันเดียว ความชั่วกลับมากมายเหลือเกิน ข้าฆ่าปีศาจ 3 ตัวท่านว่า ข้าดุร้าย วันนี้เราทำเวรกรรม ฆ่าชีวิตไปมาก พูดเสร็จ ก็ให้ลูกลิงทั้งหลายทำความสะอาดถ้ำ ตั้งธง พร้อมกับประกาศว่า วันนี้ข้ากลับมาแล้ว พร้อมอิทธิฤทธิ์มากมาย จะขอตั้งตัวเป็นซีเทียนไต้เซียนดังเดิม

ปริศนาธรรม
สิ่งลวงใจปิดบังปัญญาไม่ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไซอิ๋ว ตอนนี้พูดถึงเรื่อง การหลอกลวง โดยนางปีศาจกระดูกขาว นั้น ปลอมมาเป็น หญิงสาวหน้าตาสวย ใช้ราคะเพื่อหลอกล่อ ต่อมาปลอมเป็นหญิงแก่ร้องไห้ ใช้ความสงสารมาหลอกล่อ สุดท้ายปลอมเป็นผู้ถือศีล ใช้ความน่าเชื่อถือ มาหลอกล่อ

นั่นคือ การหลอกลวง นั้นเข้ามาได้หลายรูปแบบ จึงพึงใช้ปัญญา (เห้งเจีย) เพ่งพิจารณาให้มาก

อีกประเด็นสำคัญของผู้แต่งไซอิ๋วนั้น จงใจพูดถึงการประจบสอพลอของ โป๊ยก่าย ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ก็เปรียบการประจบประแจง เสมือน การหลอกลวง เช่นกัน เพราะพระถังมีการกล่าวอ้างถึงต้นอ้อ ด้วย และยังมีเห้งเจียที่ใจยังกระด้าง ที่จะไปไม่ถึงไซที (นิพพาน) ดังพระสูตร กุหนาสูตร บทที่ 1 นกุหนาสูตร บทที่ 1 และ 2 (ผมย่อให้อ่านง่าย หากใครสนใจพระสูตรฉบับเต็มต้องหาอ่านจากที่อื่นนะครับ)

นั่นคือ กุหนาสูตร บทที่ 1 ( กุ แปลว่า หลอกลวง โกหก จึงเป็นพระสูตรว่าด้วยเรื่องการหลอกลวง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุใดเป็นผู้หลอกลวง มีใจกระด้าง ประจบประแจง ประกอบด้วยกิเลสอันปรากฏดุจเขา มีกิเลสดุจไม้อ้อสูงขึ้น มีใจไม่ตั้งมั่น ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ไม่นับถือเรา ภิกษุเหล่านั้นปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ไม่หลอกลวง ไม่ประจบประแจง เป็นนักปราชญ์ มีใจไม่กระด้าง มีใจตั้งมั่นดี ภิกษุเหล่านั้นแลเป็นผู้นับถือเรา ไม่ปราศไปแล้วจากธรรมวินัยนี้ และย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมวินัยนี้ ฯ

นกุหนาสูตรที่ 1 และ 2
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ ภิกษุไม่อยู่ประพฤติเพื่อจะหลอกลวงชน ไม่อยู่ประพฤติเพื่อประจบคน ไม่อยู่ประพฤติเพื่ออานิสงส์ คือ ลาภ สักการะ ความสรรเสริญ ไม่อยู่ประพฤติด้วยคิดว่า ชนจงรู้จักเราด้วยอาการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่แท้พรหมจรรย์นี้ ภิกษุย่อมอยู่ประพฤติเพื่อการสำรวมและเพื่อการละ ฯ

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้ทรงแสดงพรหมจรรย์เครื่องกำจัดจัญไร อันเป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือ นิพพาน เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ ทางนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้มีประโยชน์ใหญ่ ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงดำเนินไปแล้ว ชนเหล่าใดๆ ย่อมปฏิบัติพรหมจรรย์นั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ชนเหล่านั้นๆ ผู้กระทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา จักกระทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ

วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 14 ผลไม้อายุยืน (人參果)

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 14 ผลไม้อายุยืน (人參果)
(ระหว่างอ่านปริศนาธรรม ระกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)

เซียน ติ้นหวนจื้อ (เต่งง้วงไต่(鎮元大仙)) ผู้เป็นอมตะ เป็นเซียนที่อาศัยอยู่ที่ วัดบนภูเขาอายุยืน (萬壽山) โดยในวัดเขามีของวิเศษคือ ต้นไม้ ยิ่นเซียมก๊วย(Ginseng-fruit (人參果) ที่จะออกผลไม้รูปร่างเหมือนเด็กทารก  30 ลูกทุกๆ 9000 ปี เมื่อได้ดมกลิ่นอายุจะยืนขึ้น 360 ปี และเมื่อได้กินอายุจะยืนถึง 47000 ปี โดยเซียนท่านนี้ได้ออกเดินทางไปฟังธรรมบนสวรรค์ แต่ฝากเด็กรับใช้ 2 คน คือ เซ่งฮอง (ลมบริสุทธิ์ (清風)) และ เม้งง้วย (แสงจันทร์ (明月)  ว่า ถ้าพระถังมา ให้ถวายผลแก่พระถัง 2 ผล แต่พระถังอิดออดไม่กิน เพราะรูปร่างเหมือนเด็กทารก เด็กรับใช้จึงกินเข้าไปเอง ต่อมา โป๊ยก่ายหิว จึงได้บอกกับ เห้งเจีย ให้ไปขโมยผลไม้มา 3 ผล เผื่อแผ่ให้พี่น้อง คนละใบ เด็กรับใช้ 2 คนก็กล่าวหา เห้งเจีย ว่า เห้งเจีย เป็นขโมย

เห้งเจียโกรธอย่างมาก ได้ถอนต้นไม้ทิ้ง ก่อนที่จะหลบหนีออกมา เมื่อท่านเซียนกลับมาก็จับตัวทั้งหมดไว้ เห้งเจียเลยต้องหลบหนีไปขอความช่วยเหลือ พระกวนอิม ท่านกลับมาช่วยปลูกต้นไม้สำเร็จ  ทำให้เซียนใจเย็นลงและเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเห้งเจีย และให้ผลไม้แก่คณะทุกคนก่อนที่จะออกเดินทางต่อไป

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
คณะเดินทางมาถึงเขาสูงเทียมฟ้า ก็เห็นอารามที่ยอดสูง และมีต้นไม้งาม พระถังก็พูดขึ้นว่า เดินทางมายาวนาน นี่น่าจะถึงเขตวัดลุ่ยอิมยี่แล้วนะ (ที่อยู่ของพระยูไล) เห้งเจียตอบกลับว่า ยังอยู่อีกไกลครับ ถ้าน้องสองคนก็ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 วันก็ถึง ส่วนข้าวันหนึ่งเดินทางไปกลับได้ 10 รอบ แต่ถ้าเป็นพระอาจารย์ก็อย่าเพิ่งคิดเลย  พระอาจารย์จึงถามว่า แล้วเมื่อไหร่จะถึงกันเล่า เห้งเจียตอบกลับว่า หากสันดานจิตไม่ผ่องใส เกิดจนตาย 1000 รอบก็ไปไม่ถึง แต่หากจิตผ่องใส ชั่วหายใจก็ถึงแล้ว
เมื่อเดินทางมาถึงอาราม ก็พบป้ายบอกว่า ภูเขานี้ชื่อ บ้วนซิ่วซัว  เป็นที่อยู่ของเซียนลัทธิเต๋า ชื่อ ติ้นหวนจื้อ โดยมีต้นไม้วิเศษอยู่ต้นหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับโลกที่ยังไม่แบ่งฟ้าดิน ชื่อ ยิ่มเซียมก๊วย ที่ออกผลไม้รูปเด็กครั้งละ 30 ผล  3000 ปีจึงจะออกดอก 3000 ปีจึงจะออกผล และอีก 3000 ปีผลไม้ถึงจะสุก หากใครได้ดมกลิ่นจะมีอายุยืนขึ้น360 ปี และหากใครได้กินจะมีอายุยืน 47000 ปี แต่เนื่องจาก ท่านเซียนได้พาลูกศิษย์ 48 คนออกไปฟังเทศน์ บนสวรรค์  แต่ก่อนไปได้สั่งให้ลูกศิษย์ 2 คน คือ เซงฮอง (อายุ 1320 ปี) และเม้งง้วย (อายุ 1200ปี) ว่า วันพรุ่งนี้จะมีพระถังและคณะจะเดินทางมาถึง ให้เชิญคณะเข้ามาพัก และต้อนรับ รวมถึงสั่งให้ไปเก็บผล ยิ่นเซียม บนต้นมา 2 ผลเพื่อนำมาถวายแด่พระถัง

เมื่อคณะเดินทางมาถึง ลูกศิษย์ทั้ง 2 ก็ออกมาต้อนรับ โดยเชิญมานั่งกินน้ำชา ได้เล่าที่มาของอารามแห่งนี้ว่า บูชาเพียงฟ้าดิน พรหมและเทวดา รวมถึงดวงดาว อาจารย์ข้าไม่ขอบูชาเพราะเป็นเพื่อนกันหมด และได้ขอตัวไปเก็บผลไม้วิเศษ มามอบให้แก่พระถัง แล้วพูดว่า วัดนี้ไม่มีอะไรจะถวายท่าน อาจารย์ข้าจึงให้นำผลไม้มาถวายแด่ท่าน นิมนต์ท่านฉันเพื่อให้อายุยืนยาว แต่พระถังนั้นไม่กล้ากินเพราะรูปร่างเหมือนเด็กทารก และปฎิเสธไป ทำให้ศิษย์ทั้ง 2 คนเห็นว่า ปล่อยไว้ผลไม้จะเสียเพราะผลไม้นี้มีอายุน้อยมาก จึงมาแบ่งกันกินเอง
โป๊ยก่ายนั้นเห็นผลไม้ก็เกิดอยากกินเพราะหิว จึงชักชวน เห้งเจีย ให้ไปเด็ดผลไม้กินกัน เด็ดมา 4 ผล ผลหนึ่งตกลงพื้นหายไป อีก 3 ผลนำมาแบ่งกินกันคนละผล ลูกศิษย์ทั้ง 2 คนของเซียน เห็นว่า ผลไม้หาย จึงได้เข้าไปหาพระถัง และ ด่าหยาบคายใส่พระถัง พระถังสงสัยว่า ท่านทั้งสองร้อนใจอะไร  เมื่อทั้งสองบอกว่า ท่านไม่ทานผลไม้ แต่ลูกศิษย์ของท่านขโมยกินผลไม้ ช่างทำตัวน่าเกลียด


พระถังจึงเรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมาไต่ถาม แต่ทั้งหมดปฎิเสธ พระถังจึงบอกว่า เราเป็นคนถือศีล อย่าพูดโป้ปด อย่ากินของคนอื่น แม้หากกินแล้วก็ขอขมาลาโทษเพื่อให้พ้นผิด เห้งเจีย จึงได้ยอมรับว่า ขโมยมา 3 ผล ลูกศิษย์ของเซียนก็แย้งทันทีว่า ท่านทุศีลได้อย่างไร ผลไม้หายไป 4 ผล แต่ท่านมาบอกว่า กินไปเพียง 3 ผล แล้วก็ด่าทอหยาบคาย เห้งเจียได้ยินก็โมโหมาก ตะโกนกลับไปว่า งั้นข้าจะโค่นต้นไม้เสียให้สิ้น จะได้ไม่มีใครได้กินมันอีก จึงได้แปลงกายออกไปใช้ไม้พลองฟาดเข้าที่ต้นไม้แล้วถอนต้นไม้ทิ้งเสีย

เมื่อลูกศิษย์ทั้ง 2 ออกมาเห็นต้นไม้ก็ตกใจ และวางแผนขังคณะทั้งหมดไว้ในห้อง รออาจารย์กลับมา พระถังนั้น เรียก เห้งเจีย มาต่อว่า เห้งเจีย เจ้าไปไหนมีแต่เรื่อง วันนี้ลักผลไม้มากิน แถมยังโค่นต้นไม้เขาอีก เจ้าจะทำตัวแย่ไปถึงไหน แต่ตกดึก เห้งเจีย ก็สะเดาะกุญแจหนีออกมาทั้งหมด

เมื่อท่านเซียนกลับมาก็ถามไถ่ลูกศิษย์ก็ได้ความ เซียนจึงรีบเหาะไปตามพระถังกับคณะ เมื่อพบเจอก็แปลงกายเป็นคนแก่ถือศีลเข้าไปถามไถ่ว่า ท่านเดินผ่านมาทางนี้ได้แวะพักที่ภูเขาหรือไม่ เห้งเจียรีบตอบทันที ข้าเดินมาตามทางใหญ่มิได้แวะพักที่ใดเลย  ท่านเซียนได้ยินดังนั้น ก็ตวาดไปทันที หากพวกเจ้าไม่ได้แวะ แล้วลิงตัวไหนมันแวะไปลักผลไม้และยังโค่นต้นไม้ของข้า ยังมีหน้ามาโกหกข้าอีก  เห้งเจีย ได้ยินก็ชักกระบองขึ้นมาหมายจะฟาดท่านเซียน แต่ท่านเซียนหลบ แล้วหยิบถุงวิเศษรวบเอาทั้งคณะเข้าไปในถุง โดยเมื่อเซียนจับคณะกลับมาที่อารามก็วางแผนลงโทษโดยเฉพาะพระถัง ฐานที่เป็นอาจารย์ไม่ดูแลศิษย์ให้ดี ทำให้เห้งเจีย เจรจาขออาสาไปหาของวิเศษมาฟื้นคืนต้นไม้วิเศษ แทน

ครั้งแรกพบซัมแซทั้ง 3 แม้จะรู้จักกับท่านเซียน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่อาสาจะไปช่วยพูดให้ ต่อมาเห้งเจียไปพบกับตังอวยตี้กุน และยังได้พบกับ เทวดาชื่อ ตังฮอวงเซาะ ก็ไม่สามารถช่วยได้ เหาะไปเจอเทวดาชื่อ กิ้วเล้า ก็ไม่สามารถช่วยได้
จนต้องไปหาพระกวนอิมอีกครั้ง พระกวนอิมจึงเสด็จมาที่ต้นไม้แล้วพรมน้ำมนต์ที่มือของเห้งเจีย แล้วให้เห้งเจียค่อยๆประคองต้นไม้ขึ้นมา ต่อมาต้นไม้ก็กลับฟื้นคืน จนท่านเซียนดีใจ และผูกมิตรกับพระถังและลูกศิษย์ รวมถึงยังได้สาบานเป็นพี่น้องกับเห้งเจียอีกด้วย รุ่งเช้าคณะก็ออกเดินทางต่อ

ปริศนาธรรม
ตอนนี้จะมี 2 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. ผู้เขียนจงใจเปรียบเทียบลัทธิเต๋า ที่มีเป้าหมายคือ การมีอายุยืน (ไม่อยากตาย) การเป็นเซียน รวมถึง การล้อเลียนเรื่อง ยาอายุวัฒนะ (ในอดีตมีการเล่นแร่แปรธาตุด้วยการใส่ทอง ปรอท ตะกั่วลงไปด้วย) และ การบูชาดวงดาว รวมถึงการนับถือฟ้าดิน อีกด้วย ขณะที่ศาสนาพุทธจะเน้นไปที่การนิพพาน (ความตาย) เป็นหลัก โดยศิษย์รับใช้ 2 ได้กล่าวเรื่องนี้ว่า วัตถุประสงค์คนละอย่างนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้ รวมถึง ได้นำผลมาให้พระถังแต่พระถังปฎิเสธ นั่นคือ ศาสนาพุทธนั้นมองเรื่องอายุยืนไม่ใช่สาระสำคัญ

2. ผลไม้ที่ออกผล ครั้งละ 30 ลูก และ นานถึง 9000 ปี จึงจะออกผลครั้งหนึ่ง เปรียบเสมือน พระบารมีธรรม 30 ทัศ (ธรรมที่นำไปให้ถึงฝั่งพระนิพพาน) ที่พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจักต้องบำเพ็ญให้ครบบริบูรณ์ 30 อย่าง พระบารมีธรรมนั้นมิใช่จะบำเพ็ญเพียง 20-30 ชาติเท่านั้น แต่ต้องบำเพ็ญเป็นเวลายาวนานหลายอสงไขย ต้องบำเพ็ญบารมีนับชาติไม่ได้

นอกจากนี้ หากต้องการปลูกต้นไม้นี้ เทวดา หรือใครก็ไม่สามารถช่วยได้ ต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้น เปรียบเสมือนเห้งเจีย ที่ไปหาเทวดาคนไหนก็ช่วยไม่ได้ และ พระกวนอิม ได้พรมน้ำมนต์ที่มือของเห้งเจีย แต่เห้งเจียต้องประคองต้นไม้ขึ้นมาเอง

 พระบารมีธรรม 30 ทัศ มีรายละเอียด ดังนี้
บารมี 1-10 จัดเป็น บารมีระดับธรรมดา
1. ทานบารมี 2. ศีลบารมี 3. เนกขัมมบารมี (การละทางกาม เช่นการออกบวช) 4.ปัญญาบารมี 5. วิริยบารมี 6.ขันติบารมี 7.สัจบารมี (รักษาวาจา) 8.อธิษฐานบารมี (การตั้งจิต) 9.เมตตาบารมี 10.อุเบกขาบารมี (การวางเฉย)

บารมี 11-20 จัดเป็นบารมีระดับปานกลาง
11. ทานอุปบารมี 12. ศีลอุปบารมี 13.เนกขัมมอุปบารมี 14.ปัญญาอุปบารมี 15. วิริยอุปบารมี 16.ขันติอุปบารมี 17.สัจอุปบารมี 18.อธิษฐานอุปบารมี 19.เมตตาอุปบารมี 20.อุเบกขาอุปบารมี

บารมี 21-30 จัดเป็นบารมีระดับอุกฤษ์สูงสุด
21.ทานปรมัตถบารมี 22. ศีลมัตถบารมี 23. เนกขัมมปรมัตถบารมี 24. ปัญญาปรมัตถบารมี 25.วิริยปรมัตถบารมี 26.ขันติปรมัตถบารมี 27.สัจปรมัตถบารมี 28.อธิษฐานปรมัตถบารมี 29.เมตตาปรมัตถบารมี 30.อุเบกขาปรมัตถบารมี

ยกตัวอย่าง การให้ทาน ระดับธรรมดา คือการให้ทรัพย์สมบัติ  ระดับที่ 2 คือการบริจาคอวัยวะ และระดับอุกฤษ์ คือ การบริจาคร่างกาย

นอกจากนี้ ผู้แต่งเรื่อง ได้ให้ เห้งเจีย(ปัญญา) โป๊ยก่าย (ศีล) และซัวเจ๋ง(สมาธิ)  ได้กินคนละผล ก็เนื่องจาก ทั้ง 3 มีอยู่ในพระธรรมบารมีแล้ว เปรียบเสมือนได้ บำเพ็ญบารมีจนได้มาแล้ว 3 ผลนั่นเอง

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 13 บ้านเศรษฐีนีม่าย

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 13 บ้านเศรษฐีนีม่าย
เนื้อเรื่องไซอิ๋ว
คณะเดินทางต่อไป เดินทางมาเจอไร่ขนาดใหญ่ และบ้านคฤหาสน์หลังใหญ่ จึงเดินเข้าไปเพื่อขอพัก 1 คืน เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ก็พบกับ เศรษฐีนี หน้าตาสะสวยผู้หนึ่ง  เมื่อนางเห็นพระถังเข้ามา ก็ถามไถ่ว่า ท่านจะเดินทางไปไหน พระถังตอบกลับไปว่า คณะของข้ามีภาระกิจที่ยิ่งใหญ่คือ การเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ไซที(อินเดีย)

นางจึงได้กล่าวว่า ข้าอายุมากแล้ว สามีก็มาด่วนตายจาก ทิ้งสมบัติไว้มากมาย อยู่กับลูกสาว 3 คน ตนก็กำลังหาสามีให้ลูกสาว เศรษฐีนีจึงเอ่ยปาก ขอลูกศิษย์ท่าน 1 คน ให้เป็นสามีของลูกสาวเราได้หรือไม่ โดยกล่าวเป็นกลอนว่า  ชุดผ้าแพรสีมีมากมาย ที่ดินข้ามีมากมาย ทรัพย์สมบัติก็เหลือจะใช้ ภัตตาอาหารและเหล้ายาก็มากมีเหลือจะกิน ยิ่งเคล้านารียิ่งสุขขี คณะของท่านอยู่นี่ย่อมสุขสบาย ท่านจะเดินทางไปไซทีให้ลำบากทำไม

พระถังจึงตอบกลับเป็นกลอนกลับไปว่า ทรัพย์สินเงินทองมีแต่ทำให้จิตเศร้าหมอง ผู้ทรงศีลอยู่ท่ามกลางอิสรตรี ย่อมเหมือนอยู่ท่ามกลางปีศาจ เมื่อเสียชีวิตไป ทรัพย์สมบัติก็นำติดตัวไปไม่ได้ เราจึงมุ่งมั่นไปไซที และลูกศิษย์ทั้งหมดก็ตอบปฎิเสธ รวมถึงโป๊ยก่าย ที่กล่าวว่า ข้าทิ้งภรรยามา เพื่อจะมาหาภรรยาใหม่ มันดูไม่งาม..

เศรษฐีนีโกรธมาก จึงตะโกนว่า ข้าอุตส่าห์หวังดี จะยกทรัพย์สมบัติให้ แถมอยากผูกความสัมพันธ์เครือญาติกับท่าน แต่ท่านเอาเรื่องความตายมาพูดใส่ ไม่มีมรรยาทเอาซะเลย  จึงปิดประตูใส่ ไม่มีแม้แต่อาหาร หรือน้ำชา และให้คณะไปนอนใต้ต้นไม้แทน โป๊ยก่ายนั้นน้อยใจอาจารย์ว่า ทำไมไปตอบแบบหักหาญน้ำใจเช่นนั้น ทำให้แม้แต่อาหารก็ไม่มีกิน แถมคืนนี้ต้องนอนใต้ต้นไม้อีก
ตกดึก โป๊ยก่ายแกลังพาม้าขาวไปกินหญ้า แต่เขากลับทิ้งม้า แล้ว มุ่งตรงไปยังหลังบ้านของเศรษฐีนี ก็พบเศรษฐีนีและลูกกสาวทั้ง 3 คนซึ่งทุกคนสวยราวนางฟ้า โป๊ยก่าย จึงเอ่ยกับ เศรษฐีนีว่า หากไม่รังเกียจ ปากยื่น หูกางของข้า ข้ารับเป็นเจ้าบ่าวให้ลูกสาวท่านเอง  แม่ม่ายจึงตอบกลับว่า ดีงั้นเรามาให้สวรรค์ตัดสินดีกว่าว่า ลูกสาวข้าคนไหนจะได้ท่านเป็นเจ้าบ่าว  เรามาเล่นเกมเสี่ยงทายดีกว่า  โดยการเอาผ้าคลุมหน้าท่านไว้  หากท่านจับได้ใคร คนนั้นเป็นเจ้าสาวของท่าน เมื่อโป๊ยก่ายหยอกล้อกับนางทั้ง 3 โดยการเล่นเอาผ้าคลุมหัว ทันใดนั้น โป๊ยก่าย ก็ถูกจับมัดทันที และถูกนำตัวไปแขวนไว้บนต้นไม้  ตื่นเช้ามา เมื่อคณะได้ยินเสียงโป๊ยก่าย จึงเข้าไปดู แล้วก็ช่วยเหลือลงมา

พร้อมกับพบกระดาษที่แปะติดไว้ที่ม้า ระบุเป็นกลอนว่า  หนึ่งคือ พระโพธิสัตว์ผู่เสียน หนึ่งคือ พระโพธิสัตว์เหวินซู และหนึ่งคือ เจ้าแม่เขาไท่ซาน คือ ลูกสาวของเศรษฐีนี อีกหนึ่งคือ พระกวนอิม เป็นเศรษฐีนี การเดินทางที่ยิ่งใหญ่ นั้นยากลำบากมาก แต่หาก โป๊ยก่าย ยังมีพฤติกรรมเช่นนี้ การเดินทางจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น โป๊ยก่ายต้องปรับปรุงตัวให้มาก

เมื่อทั้งหมดได้อ่านข้อความ ก็พระถังก็กราบไหว้พระโพธิสัตว์ และตำหนิโป๊ยก่าย ก่อนออกเดินทางต่อไป

ปริศนาธรรม
ตอนนี้เป็นการทดสอบทางธรรมชาติ ในเรื่องทั้งความโลภ และราคะ ในจิตซึ่งมักจะเข้ามาก่อกวนจิตเราอย่างสม่ำเสมอ โดยเรื่องความโลภหรือความอยากนั้นได้กล่าวไปแล้ว ในบทความก่อนหน้านี้ บทความนี้จึงขอเน้นไปที่เรื่องของ กามราคะ (ความจริงแล้ว กิเลสทั้ง 3 คือ โลภ โกรธ หลง (ตัณหาราคะ) นั้น ราคะคือ สิ่งที่กำจัดยากที่สุด และมักเป็นกิเลส ตัวสุดท้ายที่จะสามาระละได้)

เปรียบดังสิ่งเสพติดทั้งปวง นั้นหากจิตคิดอยากเลิก นั้นก็สามารถเลิกได้ทันที แต่ กามราคะนั้นเลิกยาก เพราะเป็นความต้องการระดับสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง ซึ่งมันจะคอยเข้ามากวนจิตใจเราอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ กามราคะนั้น เปรียบเสมือนสิ่งที่จะเข้ามาย้อมจิตของเราให้เศร้าหมอง เพราะมันเกิดจากการปรุงแต่งจิต สิ่งสวยงามที่เห็นและสัมผัสได้นั้น ดูเป็นสิ่งสวยงาม แลดูสะอาดตา แต่ความจริงนั้น เป็นรูปที่ชั่วช้า สกปรก เปรียบดัง อสุภ (ซากศพ)

สมาธินั้นก็สามารถตั้งมั่นแห่งจิตได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ต้องใช้ปัญญาช่วย (พระพุทธเจ้าตอบในพระสูตรว่า ฉลาดในฌาณ)

โดยตอนที่แล้ว ได้อธิบายว่า สมาธิที่ใช้อุบายกรรมฐาน เพื่อลด ละกิเลส ด้านราคะนั้นคือ อสุภกรรมฐาน โดยพิจารณาส่วนที่ไม่สวยไม่งาม นั่นคือ ใช้ปัญญาเพื่่อ เพ่งพิจารณาให้เห็นโทษของมันมากกว่า เพราะกามราคะจะก่อให้เกิดทุกข์ และพิจารณาความเป็นจริงของราคะ ก็จะพบว่า มันคือสิ่งที่อยู่ใต้ผิวหนังนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งโสโครก เน่าเหม็นเท่านั้น

สิ่งสำคัญคือ ต้องพยายามอยู่ให้ห่าง จากกามราคะ เพราะราคะนั้นเกิดขึ้นสม่ำเสมอ ไม่เช่นนั้น จิตของเราจะไปร่วมมือกับราคะเพื่อปรุงแต่งจิตกับกามราคะนั้นๆ ด้วย  (ราคะในที่นี้จะรวมทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์จากจิตด้วย)

นั่นเปรียบเสมือน กับที่เห้งเจีย(ปัญญา) และซัวเจ๋ง (สมาธิ) นั้นได้ช่วยโป๊ยก่าย (ศีล) ลงมาจากต้นไม้

สัมมาปริพพาชนิยสูตร พระสูตรบนนี้จะตรงกับ ไซอิ๋วตอนนี้มากที่สุด ขอสรุปสั้นๆ ดังนี้
(พระสูตรนี้ ยาวมาก ขอแปลแบบย่อๆ หากผิดพลาดต้องขออภัย และหากสงสัยรบกวนหาอ่านฉบับเต็ม)
เทวดาถามพระพุทธเจ้าว่า ผู้มีปัญญามาก สามารถถึงฝั่งพระนิพพานแล้ว ท่านบรรเทาราคะได้อย่างไร

 พระพุทธเจ้า ตอบ
พระภิกษุใด สามารถลดละเลิกกิเลสได้ ทั้งมนุษย์และเทวดา ย่อมตรัสรู้ธรรมแล้ว
พระภิกษุใด สามารถสิ้นอาสวะ(กิเลสที่ติดอยู่ในสันดาน) อันเป็นธรรมชาติแห่งราคะ โดยไม่ต้องพยายามแล้ว มีจิตตั้งมั่นแล้ว ภิกษุท่านนั้นย่อมเห็นมรรค ไม่แล่นไปด้วยอำนาจทิฐิ(ความคิด ความเห็น) ในสัตว์
พระภิกษุใด หากสามารถดับสังขาร (แปลว่า ความคิดที่ปรุงแต่งจิต)ได้ จะต้องมีความชำนาญในธรรม และฉลาดในฌาณ
พระภิกษุใด สามารถรู้บทแห่งสัจจะทั้งหลาย ภิกษุนั้น ตรัสรู้ธรรม เห็นการละอาสวะ(กิเลสระดับรากลึก) เป็นนิพพาน ไม่ข้องอยู่ในภพไหน เพราะสิ้นอุปธิ (กิเลสและกรรม) ทั้งปวง
เทวดาจึงตอบกลับว่า เห็นสมควรเช่นนั้น
   

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 12 ปีศาจพรายน้ำ (ซัวหงอเจ๋ง)

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 12  ปีศาจพรายน้ำ (ซัวหงอเจ๋ง)
ซัวหงอเจ๋ง หรือ จีนกลางว่า ชา อู้จิ้ง (沙悟凈) หรือ ซัวเจ็ง (沙僧)   แปลว่า ทรายผู้บริสุทธิ์ได้ตื่นแล้ว เดิมเป็นขุนนางคอยแหวกม่าน (卷帘大将)ให้ เง็กเซียนฮ่องเต้  ในงานเลี้ยง ซัวเจ๋งไม่ระวัง ทำคนโทแตก เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงกริ้ว ขับไล่ซัวเจ๋งไปยังโลก โดยทุกวันจะมีมีด 7 เล่มเหาะมาจากสวรรค์มาแทงที่อกเขา ทำให้เขาต้องหนีลงอยู่ใต้น้ำเพื่อหลบมีดเหล่านี้ ตัวเขาจึงกลายเป็นปีศาจพรายน้ำในแม่น้ำ ลิ้วชัวฮ้อ (流沙河 แปลว่า แม่น้ำทรายไหล) คอยจับผู้คนกินเป็นอาหาร ต่อมาเขาได้พบกับพระถัง จึงได้ติดตามไปไซที โดยมีอาวุธเป็นพลั่วพระธรรม  ด้านหนึ่งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อีกด้านคล้ายพลั่ว ตอนจบเรื่องนี้ เขาได้เป็นพระอรหันต์ร่างทอง (金身羅漢)

ซัวเจ๋งนั้น เชื่อกันว่า มีต้นแบบมาจาก บันทึกของ พระฮุ่ยลี่ 慧立 ลูกศิษย์ของพระถัง ที่ได้บันทึกการเดินทางตามคำบอกเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระถังอยู่กลางทะเลทราย พระถังได้ดื่มน้ำจนหมด หลายวันผ่านไป พระถังก็หมดสติไป และฝันว่ามีชายสูงใหญ่ถือพลอง มาตำหนิเขาว่า การเดินทางครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่ท่านมามัวนอนหลับฝันอยู่ ทันทีที่เขาตื่นมา ตัวเขาก็อยู่บนม้าที่กำลังวิ่งไปหาโอเอซิสในทะเลทราย และ “ทรายไหล” ในทะเลทราย นี่เองที่เป็นชื่อ แม่น้ำที่ซัวเจ๋งอาศัย
(ระหว่างอ่านปริศนาธรรม ช่วยกดดูวิดีโอไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้แอดมินด้วยนะครับ)

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
พระถังและสานุศิษย์ เดินทางต่อมาถึงริมแม่น้ำขวางกว้างไกลมาก พระถังได้อ่านป้ายที่ปักไว้ว่า ลิ้วชัวฮ้อ (แม่น้ำกระแสทรายไหล) กว้าง 800โยชน์  ลึก 3000 เส้น แม้แต่ขนห่านหรือใบไม้ก็ไม่อาจลอยอยู่ได้ นอกจากแม่น้ำจะกว้างมากแล้ว ยังไม่มีเรือข้ามฟากอีกด้วย  เห้งเจียบอกกับพระถังว่า เราเจอปัญหาเข้าแล้ว เพราะข้ากับโป๊ยก่ายสามารถข้ามไปได้ แต่อาจารย์คงยากที่จะข้าม อาจต้องใช้เวลานับแสนปี  ทันใดนั้น ก็มีปีศาจปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับห้อยหัวกระโหลก 9 หัว และมือถือไม้พลองวิเศษ เข้าต่อสู้กับโป๊ยก่าย เข้ารับมือและสู้กันอยู่นาน ต่อมาเริ่มเหนื่อย ปีศาจจึงได้หนีลงน้ำไป เห้งเจียนั้นไม่ถนัดสู้ในน้ำ  แต่โป๊ยกาย นั้นสามารถสู้ในน้ำได้ เพราะเขาเป็นอดีตแม่ทัพสวรรค์ที่ดูแลแม่น้ำสวรรค์ จึงได้กระโดดตามลงน้ำไป
เมื่อลงไปในน้ำก็เจอปีศาจ ก็ถามไถ่ ปีศาจก็ตอบว่า เจ้าจำข้าไม่ได้หรือ ข้าหาใช่ปีศาจใดไม่ เดิมข้าได้ศึกษาธรรม จนสำเร็จฌาณสมาธิ ทำให้ตนได้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นขุนนางคู่กายคอยเปิดม่านราชรถของเง็กเซียนฮ่องเต้ ในงานเลี้ยงผลลูกท้อ ข้าเคราะห์ร้ายทำแก้วคนโทแตก ทำให้เหล่าเทวดาตกใจ เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงพิโรธรับสั่งให้ประหารชีวิตข้า ท่านชิดเคียดเซียน ได้กราบทูลลดโทษให้ข้าพเจ้า เหลือการเฆี่ยน 800 ที แล้วให้ลงมาอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ เมื่อข้าหิว ข้าก็จะขึ้นมาจับผู้คนกิน โดยเฉพาะคนตัดไม้ และชาวประมง ที่สำคัญคือ พลองของข้า เป็นพลองวิเศษ ชื่อไต้เจียงกุน ที่เง็กเซียนฮ่องเต้ประทานให้ เจ้าแน่มาจากไหน ถึงลงมาหาเรื่องกับข้า ข้าจะจับทำหมูแช่เกลือ  โป๊ยกายนั้นได้ยินก็โมโห พยายามหลอกล่อให้ปีศาจขึ้นบนมาเจอกับเห้งเจียให้ได้

ฝ่ายหนึ่งเป็นถึงผู้บัญชากองทัพสวรรค์ พร้อมอาวุธที่ได้รับพระราชทานจากเง็กเซียน (แต่เมาแล้วหยอกล้อกับหญิงในงานเลี้ยงลูกท้อ) กับอีกฝ่ายเป็นองค์รักษ์พิทักษ์เง็กเซียนฮ่องเต้ พร้อมกับอาวุธที่ได้รับจากเง็กเียนฮ่องเต้เช่นกัน (แต่เผลอทำคนโทแตกในงานเลี้ยงลูกท้อเช่นกัน)  โป๊ยก่าย นั้นพยายามหลอกล่อ  แต่เกือบหลอกล่อขึ้นมาสำเร็จแต่ เห้งเจีย ใจร้อนรีบกระโดดไปตีปีศาจ  ปีศาจเห็นเข้าจึงรีบกลับลงน้ำไป โป๊ยก่ายโมโหมาก จึงตะโกนน่า ลิงกังเอ้ย เหมาะกับตำแหน่งคนเลี้ยงม้าจริงๆ  แล้วโป๊ยก่าย กับ เห้งเจีย ก็มาวางแผนบนบกได้ความว่า เห้งเจีย จะไปนิมนต์พระกวนอิมให้มาช่วยปราบปีศาจตนนี้

เมื่อไปพบพระกวนอิม เห้งเจียก็เล่าปัญหาให้ พระกวนอิมฟังว่า ตอนนี้คณะเดินทางมาถึงแม่น้ำที่กว้างใหญ่ เรือข้ามฟากก็ไม่มี แถมเจอกับปีศาจน้ำอีก โป๊ยก่าย ก็ไม่สามารถปราบได้ ตัวข้าก็ไม่สามารถลงน้ำไปปราบได้  พระกวนอิม จึงตำหนิว่า “เห้งเจีย ทำไมเจ้าเอาแต่สู้รบ ไม่บอกกล่าวไปว่า คณะจะเดินทางไปไซทีกันเล่า”  เห้งเจีย ตอบกลับว่า “ข้าคิดว่าจะจับปีศาจตนนี้ให้พระอาจารย์ขี่หลังไป ข้าจึงเข้าสู้รบ โดยลืมเล่าเรื่องจะเดินทางไปไซที” พระกวนอิม จึงกล่าวว่า “เดิมที ปีศาจตนนี้เป็นสานุศิษย์ของข้าได้สั่งสอนพระธรรมจนได้เป็นขุนนางสวรรค์ และเมื่อถูกลงโทษ ข้าได้แนะนำไปว่า หากมีผู้แสวงบุญเดินทางไปไซที ให้สวามิภักษ์เป็นศิษย์แล้วร่วมเดินทางไปด้วย

พระกวนอิม อธิบายจบก็เรียก ฮุยไง้  ศิษย์เอก แล้วหยิบลูกน้ำเต้าเพื่อยื่นให้ฮุยไง้ แล้วจงไปเรียก “ซัวหงอเจ๋ง” (ทรายผู้บริสุทธิ์ได้ตื่นแล้ว) ขึ้นมา ว่าบัดนี้ มีผู้จะไปอาราธนาพระไตรปิฎกเดินทางมาถึงแล้ว ให้รีบสวามิภักดิ์ แล้วติดตามไปด้วย และสั่งว่า ให้เอากระโหลก มาพันรอบน้ำเต้านี้ อาศัยข้ามฟากแม่น้ำไป
หลังจากที่ทั้งหมดกลับมา ก็ปฎิบัติตามที่พระกวนอิมได้สั่งแล้ว คณะก็สามารถข้ามแม่น้ำมาได้  เมื่อข้ามมาได้ กระโหลกที่ผูกรอบน้ำเต้าก็หายไป โดยพระถังได้บวชให้กับ ซัวเจ๋ง ด้วยการโกนหัว แล้วทั้งหมด ก็ออกเดินทางต่อ โดย มีซัวเจ๋งมาเป็นศิษย์เพิ่มอีกคน

ปริศนาธรรม
เมื่อจิต (ลิงหิน) ได้ปัญญา(เห้งเจีย)  พระธรรม(พระถัง) และศีล (โป๊ยก่าย) แล้ว  ในตอนเดิมที่ พระอาจารย์โอเซ้า ได้ทำนาย่า เมื่อได้ศิษย์ร่วมเดินทางอีกคน จึงจะสามารถเดินไปนิพพานได้ (ไซที) นั่นคือ ซัวเจ๋ง (สมาธิ)

ปริศนาแรกนั้น คือ ซัวเจ๋ง เดิมอยู่บนสวรรค์ พลั้งเผลอทำคนโทแตก โดนลงโทษด้วยมีดเจ็ดเล่ม และต้องหนีลงน้ำ นั่นคือ การไม่มีสติ ทำให้พลาดพลั้ง และผลกระทบนั้น ย่อมส่งผลมาถึงตัวเองเสมอ  แต่พอรู้ตัว สามารถดำรงสติได้ ก็เข้าใจผลกระทบนั้นและป้องกันผลกระทบมิให้เกิดได้

โดยการจะก้าวผ่าน สมาธิ ไปได้นั้น เห้งเจีย บอกว่า อาจต้องใช้เวลานับแสนปี จึงจะข้ามไปได้ นอกจากนี้ หากเป็น มิจฉาสมาธิ หรือ การนั่งสมาธิแบบเพ่งจิตอกุศล ก็อาจทำให้ยิ่งจมลงเหมือน ทรายที่มีแต่ยิ่งจมลงใต้น้ำมากกว่า  (แม่น้ำนี้ได้ชื่อว่า แม้แต่ขนห่านก็จม) เปรียบเสมือนซัวเจ๋งที่แม้จะนั่งสมาธิ แต่ก็มีแต่จมลง  นอกจากนี้ ทรายไหล ยังเปรียบเสมือน จิตที่ไม่นิ่ง ยังไหลไปมาอยู่ ทำให้ซัวเจ๋งมีแต่จมลง

โดยซัวเจ๋งนั้นบอกว่า ได้กินผู้ผ่านทางนี้มาแล้ว 9 คน และได้นำหัวกะโหลกมาห้อยที่คอ นั่นหมายความว่า ผู้ตั้งใจจะนิพพานหลายคนก็ไม่สามารถผ่านด่านนี้ไปได้ นั่นคือ ผู้แต่งกำลังจะบอกเราว่า  สมาธิระดับที่จะผ่านไปนิพพานได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ยากเอามากๆ หลายคนต้องมาจบชีวิตลงแค่ตรงนี้ ไม่สามารถผ่านไปได้

สมาธิ นั้นคือ การตั้งมั่นแห่งจิต เป็นการฝึกจิตเพื่อให้ตระหนักรู้ตนเอง โดยร่างกายนั้น ยิ่งเคลื่อนไหวจะยิ่งแข็งแกร่ง ต่างจากจิต จิตนั้นยิ่งนิ่งจะยิ่งแข็งแกร่ง เมื่อจิตแข็งแกร่ง จะรู้จักไตร่ตรองในความคิดให้ถูกต้อง และการเพ่งพิจารณานั้นต้องสงัดจากกาม และสงัดจากอกุศลกรรม เพื่อเข้าสู่ปฐมณาณ นั่นคือ เมื่อจิตไม่ฟุ้ง่าน หรือจิตไม่ส่ายไปมา ย่อมสามารถกำจัด ราคะ โมหะ และโทสะ ได้ในที่สุด นั่นคือ สามารถกำจัด มิจฉาสมาธิ ได้

การทำสมาธินั้น ทุกคนควรพยายามทำสมาธิให้อยู่ในชีวิตประจำวัน ตลอดเวลา โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ
1. ขณิกสมาธิ  การใช้สมาธิในแต่ละวัน เช่น อ่านหนังสือ ขับรถ
2. อุปจารสมาธิ สมาธิที่แน่วแน่
3. อัปปนาสมาธิ สมาธิที่ไม่หวั่นไหว หมายถึง สมาธิระดับฌานสมาบัติ ปฐมฌาณขึ้นไป

โดยการฝึกสมาธินั้น ในตำราจะมีถึง 40 รูปแบบ (เป็นการเลือกใช้ อุบายกรรมฐาน ที่ขึ้นอยู่กับอุปนิสัย หรือจริต ของแต่ละคน เช่น คนที่รักสวยรักงาม ก็ควรจะเพ่งพิจารณาไปที่ความไม่สวยไม่งาม เป็นต้น  ) หรือเราเรียกว่า สมถกรมฐาน โดย 40 วิธี มีดังนี้

หมวด อนุสสติกรรมฐาน 10 แปลว่า ระลึกถึง
1. พุทธานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
2. ธัมมานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณพระธรรมเป็นอารมณ์
3. สังฆานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์
4. สีลานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์
5. จาคานุสสติกรรมฐาน ระลึกถึงผลของการบริจาคเป็นอารมณ์
6. เทวตานุสสติเป็นกรรมฐาน ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์
7. มรณานุสสติกรรมฐาน  ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์
8. กายคตานุสสติกรรมฐาน  เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในจาคะจริต
9. อานาปานานุสสติกรรมฐาน เหมาะแก่ผู้ที่หนักไปในโมหะ และวิตกจริต
10. อุปสมานุสสติกรรมฐาน  ระลึกความสุขในพระนิพพานเป็นอารมณ์
หม พรหมิหาร 4
11. เมตตา  คุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน  ให้มีความรัก อันเนื่องด้วยความปรารถนาดี
12. กรุณา ความสงสารปรานี
13. มุทิตา   มีจิตชื่นบาน
14. อุเบกขา มีอารมณ์เป็นกลางวางเฉย
หมวดอรูปฌาณ 4 (หากเลือกใช้อุบายกรรมฐานนี้ได้ ควรได้ ฌาณ 4 หรือ จตุตถฌาน ก่อน)
15. อากาสานัญจายตนะ ถือ อากาศเป็นอารมณ์
16. วิญญาณัญจายตนะ กำหนดวิญญาณหาที่สุดมิได้ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
17. อากิญจัญญายตนะ กำหนดความไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไร จนจิตตั้งเป็นอุเบกขารมณ์
18. เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่รับอารมณ์ใด ๆ จนจิตเป็นอุเบกขารมณ์
หมวดอสุภกรรมฐาน 10 (พิจารณา่า ไม่มีอะไรสยงาม ไม่ครยึดมั่นถือมั่น)
19. อุทธุมาตกอสุภ พิจารณาร่างกายเมื่อตายไปก็มีแต่เปื่อยเน่า
20. วินีลกอสุภ  วีนีลกะ (แปล่า สีเขีย) พิจารณาร่างกาย ตายไปก็มีแต่เขีย
21. วิปุพพกอสุภกรรมฐาน  พิจารณา่า ตายไปก็มีแต่น้ำเหลือง
22. วิฉิททกอสุภ  พิจารณา่า ตายไปก็มีแต่สิ่งไม่งาม ไม่ครยึดติด
23. วิกขายิตกอสุภ พิจารณา ่า ตายไปก็มีแต่สัต์มาแย่งกิน
24. วิกขิตตกอสุภ พิจารณา่า ตายไป ร่างกายก็แตกสลายไปคนละส่น
25. หตวิกขิตตกอสุภ พิจารณา่า หากศพถูกสับก็มีแต่ท่อนเล็กท่อนน้อย
26. โลหิตกอสุภ  พิจารณา่า ตายไปก็มีแต่เลือดไหลนอง
27. ปุฬุวกอสุภ พิจารณา่า ตายไปศพก็มีแต่หนอนมาชอนไช
28. อัฏฐิกอสุภ  พิจารณา่า ตายไปก็เหลือแต่กระดูก
หมวดอาหาเรปฏิกูลสัญญา (พิจารณาเพื่อ ลดกิเลส)
29. อาหาเรปฏิกูลสัญญา พิจารณาอาหารเป็นสิ่งโสโครก กินเพื่อบำรุงร่างกาย ไม่ใช่บำรุงกิเลส
หมวดจตุธาตุววัฏฐาน
30. จตุธาตุววัฏฐาน 4  พิจารณา่า สิ่งต่างๆ ประกอบด้ย ธาตุ 4
หมวดกสิน 10 (ถือเป็นอุบายกรรมฐานสำหรับผู้เริ่มต้น)
31. ปฐวีกสิน  เพ่งธาตุดิน
32. อาโปกสิณ  เพ่งธาตุน้ำ
33. เตโชกสิณ  เพ่งไฟ
34. วาโยกสิน  เพ่งลม
35. นีลกสิน เพ่งสีเขียว
36. ปีตกสิน  เพ่งสีเหลือง
37. โลหิตกสิณ  เพ่งสีแดง
38. โอฑาตกสิณ  เพ่งสีขาว
39. อาโลกกสิณ  เพ่งแสงสว่าง
40. อากาศกสิณ  เพ่งอากาศ

ส่วนเรื่องเรือน้ำเต้า นั้นผู้แต่งน่าจะอ้างอิงจากในพระไตรปิฎก ดังนี้
 สมัยพุทธกาลมีพระภิกษุ จำนวน 500 รูปได้เข้าไปเพ่งจิตในป่า  เมื่อฌาณเกิด จึงเชื่อว่าตนเองสำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์แล้ว สามารถข่มกิเลสได้ และได้มาทูลกับพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “พระภิกษุเหล่านี้ยังไม่สำเร็จ โดยให้ไปเพ่งจิตในป่าช้าก่อน ค่อยมาพบเราอีกครั้ง” เมื่อพระเหล่านั้นไปยังป่าช้าก็พบ ซากศพที่ทิ้งไว้ 2 วัน  ศพเหล่านั้นเริ่มขึ้นอึด น่าเกลียด น่ากลัว พระภิกษุก็เข้าใจว่า ตนเองยังละกิเลสไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย การที่เธอทั้งหลายเห็นร่างกระดูกเช่นนั้น ยังความยินดีด้วยอำนาจราคะให้เกิดขึ้น ควรละหรือ ?" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า “กระดูกเหล่านี้ที่ทิ้งเกลือนกลาดดุจน้ำเต้าในสารทกาล มีสีเหมือนนกพิราบ ความยินดีอะไรเล่า ? เพราะเห็นกระดูกเหล่านั้น”

นั่นคือในท้ายเรื่อง นั้น คณะเดินทางได้เอา น้ำเต้าของพระกวนอิม มาผูกรอบด้วยหัวกะโหลก เมื่อเดินทางข้ามไปได้ หัวกะโหลกจึงหายไป นั่นคือเพ่งจิตจนกระดูกดุจน้ำเต้า นั่นเปรียบเสมือนได้บรรลุฌาณสมาธิตามที่พระพุทธองค์ได้กล่าวไว้

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 11 ปีศาจหนูขนเหลือง (黃風怪)

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 11 ปีศาจหนูขนเหลือง


ปีศาจลมเหลือง (黃風怪) อาศัยในถ้ำลมเหลือง (黃風洞) ที่ภูเขาลมเหลือง (黃風嶺) เดิมเป็นหนูในสวรรค์ แต่สำเร็จญาณสมาธิในการใช้ลม ต่อมาได้ลักลอบกินน้ำมันจุดบูชาพระพุทธเจ้า จึงหนีจากสวรรค์ลงมา อยู่ที่เขาลมเหลือง ตั้งตัวเป็นอ๋อง เขาจับพระถังซัมจั๋ง และวางแผนจะกินพระถัง เห้งเจียต้องไปขอความช่วยเหลือจาก พระโพธิสัตว์ เล่งเกี๊ยด มาปราบปีศาจและนำเขากลับไปรับโทษที่สวรรค์

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว

คณะแสวงบุญเดินทางมาถึงภูเขาที่มียอดเขาสูงเทียมเมฆ มีลมพัดแรงมา เห้งเจียทักว่า ในสายลมมีกลิ่นปีศาจ ทันใดนั้นก็มีเสือตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา เห้งเจียและโป๊ยก่ายก็ตะโกนว่า ไอ้เสือแกจะไปไหน แล้วก็ช่วยกันรุม เสือสู้ไม่ได้ก็ถอดคราบเสือทิ้ง กลายเป็นคนหัวเสือถือมีดสั้น 2 ด้าม เขาสู้กับเห้งเจียและโป๊ยก่าย สู้ไปหนีไป เมื่อทั้งคู่เผลอ หมนุษย์เสือก็ลอกคลาบเป็นก้อนหินหลอกเห้งเจียและโป๊ยก่าย แล้วตัวเสือก็แปลงเป็นลมพายุหอบเอาพระถังที่กำลังท่องพระสูตรไปหา ปีศาจอี้งฮองไต้อ๋อง หรือ ปีศาจหนูขนเหลือง ปีศาจลมเหลือง (น้องชายของเอ็กฮองไต้อ๋อง ปีศาจหมีดำ หรือปีศาจลมดำ)

ปีศาจหนูขนเหลือง เห็น เซียฮอง ทหารเอกของตนกลับมาพร้อมพระถัง ก็ถามไถ่ว่า ได้ข่าวว่า พระถังมาพร้อมศิษย์ที่เก่งมาก 2 คนเพิ่งจัดการกับพี่ชายคือ เอ็กฮองไต้อ๋องไป เซียนฮอง ตอบกลับไปว่า ทั้งสอง ข้าเพิ่งปะมือมา ทั้งคู่แข็งแกร่งมาก ปีศาจหนูขนเหลือง จึงให้จับพระถังมัดไว้เป็นตัวประกันก่อน

เมื่อทั้งคู่ตามมาที่ถ้ำลมเหลือง เซียนฮอง ออกมาสู้กลับโดนโป๊ยก่ายฆ่าด้วยคราดวิเศษ 
ปีศาจหนูขนเหลือง ออกมาสู้แบบใจสั่นๆ ในชื่อเสียงของเห้งเจีย สู้กันได้สักพัก เห้งเจียเสกขนเป็นลูกน้องมาช่วยสู้ แต่หนูขนเหลืองก็ใช้ปากพ่นลมพิษ เห้งเจียเสียทีถูกลมของปีศาจปลิวไปตามลม ลมพิษถูกตาทั้งสองข้าเจ็บปวดทรมาน ตาเกือบบอด พอดีเทพารักษ์ เจ้าแม่เขาไท่ซาน ผ่านมา ได้อธิบายกับเห้งเจียว่า ลมพิเศษที่โดนเข้าไปนี้ แม้เทวดาโดนเข้าก็เศร้าหมอง หากโดนมนุษย์อาจถึงตายได้ และได้ให้ยาหยอดตาช่วยพยาบาล โดยให้ทาตาแล้วต้องหลับตาห้ามเปิด 1 คืนจึงจะหายได้ เห้งเจียจึงหลับตาเพ่งสมาธิสำรวมในสุข 1 คืนจึงหาย และสายตากลับมาดีดั่งเดิม 

เห้งเจียแอบแปลงเป็นแมลงเข้าไปสืบข่าวในถ้ำ ได้ยิน ปีศาจหนูบ่นออกมาว่า เห้งเจียอาจตายไปแล้ว แต่ข้ากลัว เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ มากที่สุด ต่อมาทั้งคู่จึงเหาะไปนิมนต์ เล่งเกี๊ยดโพธิสตว์ (靈吉菩薩) แห่งเขาเซียนซูหนี่ซัว (ผู้เป็นเอกด้านการเทศน์) แล้วพามาหน้าถ้ำของปีศาจหนูขนเหลือง เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ ได้ให้ยาบำบัดลมเม็ดหนึ่ง และได้ขว้างไม้ตะบองมังกรทองออกไป กลายเป็นมังกร 8 เล็บ เข้าจับตัวปีศาจไว้ในอุ้งเล็บทั้ง 8 เห้งเจีย เข้าไปจะฆ่าปีศาจหนู แต่เล่งเกี๊ยด โพธิสัตว์ห้ามไว้ โดยจะจับตัวไปถวายพระเซ็กเกี่ยมมองนีฮุดโจ๊ว

โดยเล่าว่า เดิมปีศาจหนูขนเหลือง นี้เป็นหนูที่ปฎิบัติธรรมมายาวนาน ต่อมาขโมยกินน้ำมันจุดบูชาพระพุทธองค์ ได้หนีการทำผิดมาเกิดเป็นปีศาจหนูขนเหลืองสร้างความวุ่นวายที่นี่ จำต้องจับตัวไปลงโทษตามพุทธบัญชา

เมื่อ เล่งเกี๊ยดโพธิสัตว์ พาปีศาจไปแล้ว เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ช่วยกันทลายถ้ำ และฆ่าสมุนปีศาจเสียสิ้น แก้มัดพระถังแล้วก็ออกเดินทางต่อไป

ปริศนาธรรม
ตอนแรก เซียนฮอง ปลอมตัวมาโดยหุ้มหนังเสือ (เหลือง) ในความหมายคือ นุ่งห่มเหลือง ปลอมตัวมาเป็นคนดี เหมือนกับตอน ปีศาจหมีดำ ที่นุ่งห่มจีวร แต่ต่อมาได้ใช้มีด 2 ด้าม (วิพากย์ - พิพาก และวิจารณ์ - ติชม) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ และโดนโป๊ยก่าย (ศีล) ฆ่าตาย

ต่อมา ปีศาจหนูเหลือง โจมตีด้วย ลมพิษ (วจีทุจริต) ทำให้เห้งเจีย ตาบอด ที่เทพารักษ์บอกว่า แม้แต่เทวดายังเศร้าหมอง (เปรียบคำพังเพยไทย แม้องค์พระปฎิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา) ทางแก้ของวาจามทุจริต คือ การนอนพัก และสำรวมจิตในความสุข หากยังรับรู้เรื่องต่างๆ ตาก็จะยังคงมืดบอดต่อไป


วจีทุจริต 4 คือ พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ มักเกิดจาก จิตที่คิดอกุศล นอกจากนี้ยังเกิดจากความประมาท จำเป็นต้องใช้สติและปัญญา ให้ระลึกเสมอในขณะพูดจา

ต่อมาวิธีปราบ ได้ไปนิมนต์ เล่งเกี๊ยดโพธิสตว์ (ผู้ใช้วาจาในทางที่ดี คือเทศน์) โดยท่านได้ใช้ มังกร 8 เล็บ (ปกติมังกรจะมีแค่ 4 – 5 เล็บเท่านั้น) นั่นคือ ใช้มรรคมีองค์ 8 มาปราบ โดยที่นี้จะยกมาเพียง3 ข้อ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
1.
สัมมาทิฐิ (ความเห็นที่ถูกต้อง หรือ ความรู้ที่ถูกต้อง)
2.
สัมมาสังกัปปะ (ความคิดที่ถูกต้อง)
3. สัมมาวาจา (วาจาที่ถูกต้อง) หมายถึง การเว้นจากการพูดเท็จ หยาบคาย ส่อเสียด และเพ้อเจ้อ

หมายเหตุ ในเนื้อเรื่อง ความจริงแล้ว โป๊ยก่าย (ศีล) จะต้องสามารถปราบหนูขนเหลือง (วจีทุจริต) ได้ แต่เพราะเห้งเจียสั่งให้โป๊ยก่าย เฝ้าของ และม้า เลยไม่ได้ตามมาสู้ที่ถ้ำ

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 10 ตาเฒ่าอ๊วง

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 10 ตาเฒ่าอ๊วง



เนื้อเรื่องตามไซอิ๋ว
คณะเดินทางมาถึงบ้านหลังหนึ่ง พบตาเฒ่าอ๊วงกำลังนั่งภาวนา จึงได้เข้าไปขอพักสักหนึ่งคืน และได้ถามทางไปไซที ตาเฒ่าก็ส่ายศีรษะทันที และบอกว่า ทางไปไซทีนั้นยากลำบากมาก หากอยากไปอาราธนาพระไตรปิฎกแล้ว ท่านจงกลับไปยังทิศตะวันออกเถอะ (ทั้งหมดกำลังเดินทางไปทิศตะวันตก) ที่นั่นท่านอาจจะได้พบพระคัมภีร์ อันจะไปไซทีนั้นคงไปไม่ถึงแน่ๆ

พระถังจึงถามซ้ำอีกครั้งว่า ไซทีอยู่ทางทิศตะวันตกไม่ใช่หรือ ตาเฒ่าก็ยังตอบว่า กลับไปทางตะวันออกเถอะ คัมภีร์อาจอยู่ที่นั่น เห้งเจียนั้นโมโหมากจึงได้บอกตาเฒ่าว่า ตาเฒ่าไม่ให้พักก็ไม่เป็นไร ทำไมต้องมากวนพวกเราด้วย ตาเฒ่านั้นบอกว่า “เด็กน้อย เจ้าไม่สามารถสู้กับเหล่าปีศาจได้หรอก“ เห้งเจียได้ยินเลย โอ้อวดว่า ตาเฒ่าอย่างเจ้าอายุยังนับว่าเป็นหลานข้าด้วยซ้ำ แล้วก็โอ้อวดว่า ตนเองนั้นเก่งเพียงใด เคยไปอาละวาดบนสวรรค์มาแล้วด้วย ทำไมข้าต้องกลัวเหล่าปีศาจ

ตาเฒ่าก็หัวเราะชอบใจ แล้วเชิญทั้งหมดเข้าบ้าน แต่เมื่อตือโป๊ยก่าย ได้ก้าวเข้ามาในบ้านนั้น ด้วยหน้าตาหน้าเกลียดและตัวใหญ่ ทำให้คนในบ้านหลายคนตกใจ แม้แต่พระถังก็ถึงกับตีหน้าเศร้ากับลูกศิษย์คนนี้ ที่ชาวบ้านหลายคนรังเกียจลูกศิษย์คนนี้

ตือโป๊ยก่าย จนปัญญา ได้บอกกับพระถังว่า ข้าประพฤติตนสำรวมกริยากายวาจาเป็นอย่างดีมากแล้ว ใยผู้คนยังรังเกียจข้า สมัยข้าอยู่บ้านพ่อตา ปากกับหูมันก็ยื่นออกมาเองทำให้ผู้คนรังเกียจข้า ครั้งนี้อาจารย์รู้สึกวิตกกับตัวข้าหรือ.. เพราะเห็นท่านนั่งถอนหายใจ เห้งเจีย จึงให้ ตือโป๊ยก่าย นั้น มัดหูไว้กับท้ายทอย และหุบปากที่ยื่นลง เพื่อลดความน่าเกลียดลง

ต่อมาตอนเช้า พระถังจึงถามตาเฒ่าว่า ทำไมเมื่อวานถามทางไปไซที ท่านจึงต้องการให้ข้ากลับไป ตาเฒ่าอ๊วงจึงกล่าวว่า คณะของท่านจะต้องผ่านเขาโป๊ยแปะลี้อี้งฮองเนี้ย ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของปีศาจร้าย ซึ่งข้าเห็นว่า คณะท่านคงไม่สามารถผ่านไปได้ แต่เมื่อวาน ลูกศิษย์ของท่านได้พูดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีฝีมือพอตัว จึงเห็นว่าคณะท่านคงไปถึงดังประสงค์ได้

โดยตาเฒ่าได้สั่งให้ยกอาหารมาเลี้ยงคณะเดินทาง แต่โป๊ยก่ายกลับกินไม่ยั้ง แม้ตาเฒ่าจะสั่งให้เด็กทำมาไม่อั้น แต่เห้งเจียกลับบอกตาเฒ่าว่า ไม่ต้องยกมาเพิ่มอีก ทำให้โป๊ยก่ายต้องตัดพ้อ เห้งเจีย ว่า ข้ากินไปยังไม่ถึงครึ่งท้องเลย พี่ใหญ่ทำไมทำเช่นนั้น เห้งเจีย จึงตอบกลับว่า เจ้าทานไปเป็นสิบชามแล้วควรพอแค่นี้ แล้วทั้งหมดก็เก็บของเพื่อออกเดินทางต่อไป

ปริศนาธรรม
ตอนนี้ ผู้แต่งจะเน้นไปที่ ความอยาก ที่เป็นกิเลส หากความอยากมากเกินไปจะกลายเป็นความโลภ ความอยากนั้น ถือเป็น โลภเจตสิก คือ ความอยากได้ เป็นความยึดมั่นในอารมณ์ การติดในอารมณ์เป็นนิจ โดยแยกเป็น 2 ประเด็น ดังนี้

1.
ตือโป๊ยก่าย เข้าบ้านครั้งแรกและถูกรังเกียจ จากคนในบ้านของตาเฒ่าอ๊วง และได้มาบ่นเรื่องการสำรวมกายวาจากับ อาจารย์ว่า ปฎิบัติเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม  เห้งเจียได้ให้ ตือโป๊ยก่าย พยายาม หุบปากลง และเอาหูไปพันที่ท้ายทอย (เปิดหู) นั่นคือ เห้งเจีย ให้โป๊ยก่าย ฟังให้มาก และพูดให้น้อย เพื่อเพิ่มการสำรวมกาย วาจาให้มากขึ้น

โดยตอนท้าย ตือโป๊ยก่าย ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึง ความอยาก เพราะ โป๊ยก่าย ยังคงกินมากเช่นเดิม เห้งเจีย (ปํญญา) จึงสั่งให้เด็กไม่ต้องยกอาหารมาเพิ่มอีก (กินแค่ครึ่งเดียว) เพื่อลดความอยากลง

2.
ตาเฒ่าอ๊วง แนะปริศนาธรรมว่า หากอยากไปหาพระคัมภีร์ทางตะวันตก ให้ถอยกลับไปทางตะวันออก บางทีพระคัมภีร์อาจอยู่ที่นั่น หมายความว่า ยิ่งอยากนิพพาน กลับยิ่งห่างนิพพาน ยิ่งอยากบรรลุธรรม กลับยิ่งห่างบรรลุธรรม แต่ยิ่งห่างนิพพาน กลับยิ่งใกล้นิพพาน ยิ่งห่างบรรลุธรรม กลับยิ่งใกล้บรรลุธรรม

***
หมายเหตุ อุปกิเลส 16 มีดังนี้ (ที่แนะนำเพราะในไซอิ๋ว ส่วนใหญ่จะเจอกิเลสพวกนี้ตลอดจึงแนะนำไว้ก่อน)
1.
โลภ - อภิชฌาวิสมโลภะ ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่ จ้องละโมบ มุ่งแต่จะเอาให้ได้
2. พยาบาท - ความพยาบาท คิดหมายปองร้ายทำลายผู้อื่นให้เสียหายหรือพินาศ ยึดความเจ็บแค้นของตนเป็นอารมณ์
3. โกรธ - ความโกรธ จิตใจมีอาการพลุ่งพล่านเดือดดาล เมื่อถูกทำให้ไม่พอใจ
4. ผู้ใจเจ็บ - อุปนาหะ เก็บความโกรธไว้ แต่ไม่คิดผูกใจที่จะทำลายเหมือนพยาบาท เป็นแต่ว่าจำการกระทำไว้ ไม่ยอมลืม ไม่ยอมปล่อย
5. ลบหลู่บุญคุณ มักขะ ไม่รู้จักบุญคุณ , ลำเลิกบุญคุณ เช่น ถูกช่วยเหลือให้ได้ดิบได้ดี แต่กลับพูดว่า เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย เป็นต้น หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า “คนอกตัญญู”
6. ตีเสมอ - ปลาสะ เอาตัวเราเข้าไปเทียบกับคนอื่นด้วยความลำพองใจ ทั้งๆที่ตนต่ำกว่าเขา
7. ริษยา - อิสสา กระวนกระวายทนไม่ได้เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า
8. ตระหนี่ - มัจฉริยะ แม้มีเรื่องจำเป็นต้องเสียสละแต่กลับไม่ยอม
9. เจ้าเล่ห์ - มายา แสร้งทำเพื่ออำพรางความไม่ดีให้คนอื่นเข้าใจผิด เป็นคนมีเหลี่ยม มีคู
10. โอ้อวด - สาเถยยะ คุยโม้โอ้อวดเกินความจริง
11. ดื้อรั้น - ถัมภะ จิตใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมรับการช่วยเหลือหรือต่อต้านปฏิเสธสิ่งที่มีประโยชน์
12. แก่งแย่ง - สารัมภะ ยื้อแย่งเอามาโดยปราศจากกติกาความยุติธรรม
13. ถือตัว - มานะ ทะนงตน ตรงกับคำว่า “เย่อหยิ่ง”
14. ดูแคลน - อติมานะ ความดูหมิ่นดูแคลน เหยียดหยามหรือดูถูก
15. มัวเมา - มทะ ความหลงเพลิดเพลินในสิ่งที่ไม่ใช่สาระ
16. ประมาท - ปมาทะเลินเล่อ จมอยู่ในความประมาท ขาดสติกำกับ แยกดีชั่วไม่ออก