วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เรื่องจริงของ ตำนาน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

เรื่องจริงของ ตำนาน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
หวางจินหลง(黄金荣) ตู้เยว่เซิน (杜月生) และ จางเส่าหลิน(张啸林) 



เซี่ยงไฮ้

ปัจจุบัน เป็นเมืองท่าสำคัญของโลก และเป็นเมืองที่หรูหราที่สุดของจีน


ปูพื้น
หลังสงครามฝิ่นครั้งที่ 2  ค.ศ. 1860  กองทัพอังกฤษอาศัยข้ออ้างจากการเป็นผู้ชนะในสงคราม ขอทำสนธิสัญญากับรัฐบาลจีนเพื่อใช้เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าของตน ซึ่งชาติตะวันตกอื่นๆ ก็ขอทำตามบ้าง เซี่ยงไฮ้ยุคนั้นกลายเป็นสวรรค์ของชาวตะวันตก ตึกรามบ้านช่องสร้างแบบยุโรป ร้านค้า ร้านอาหาร ธนาคาร โรงพิมพ์ และธุรกิจต่างๆ ของชาวตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว เซี่ยงไฮ้กลายเป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง รวมทั้ง สิ่งหรูหราฟุ่มเฟือย สำหรับเศรษฐีทั้งชาวจีนและชาวตะวันตก ปัจจุบันถือเป็นเมืองไฮโซอันดับ 5 ของโลก โดยได้ฉายา “ปารีสตะวันออก”

และ The Bund หรือ หาด Waitan กลายปกครองของต่างชาติ  (ชื่อเป็นหาด แต่ตัวมันไม่ติดทะเล แต่ติดแม่น้ำหวงฝู) เป็นที่มาของเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่ชื่อเพลง “เซี่ยงไฮ้ถาน” แปลว่า “หาดเซี่ยงไฮ้”  เนื้อเพลงมีความหมาย  คลื่นกระแสน้ำไหลเชี่ยวชั่วนิรันตร์ ไหลผสมปนเปกันไป แยกไม่ออกว่า สุขหรือทุกข์ สำเร็จหรือล้มเหลว ความรักหรือความเกลียด แม้มันจะไหลเชี่ยวมันก็ไม่อาจหยุดดิ้นรนได้)

ค.ศ.1912 ปฎิวัติซินไฮ่  จีนภายใต้การปกครองของรัฐบาลสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ซึ่งยึดอำนาจการปกครองจากราชวงศ์ชิง 

แล้วยุคทองของเซี่ยงไฮ้ก็สิ้นสุดลงเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่าง จีนและญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1937 ญี่ปุ่นที่ครองแมนจูกัว ก็เกิดวิกฤตตอง 7 คือวันที่ 7 เดือน 7ปี1937  ญีุ่่ปุ่นอาศัยกรณีพิพาทที่ สะพานมาโคโปโล โดยญี่ปุ่นอ้างคนหายขอส่งทหารเข้าข้ามมาตรวจ แล้วก็อาศัยจังหวะน้ั้น บุกสะพานมาร์โคโปโล การสู้รบครั้งนั้นทหารจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ญี่ปุ่นบุกเข้าเซี่ยงไฮ้ในวันที่ 11 สิงหาคม ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่หนีไปฮ่องกง ในยุคนั้น ต่อมาญี่ปุ่นก็บุก เมืองนานกิง เมืองหลวงในวันที่  13 ธันวาคม ปีนั้น และก่อเรื่อง สังหารหมูที่นานกิง 

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง หลังจากนั้นประเทศจีนก็อยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นในปี ค.ศ.1949 เป็นต้นไป ชาวตะวันตกซึ่งมีบริษัทอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ทั้งหมดก็จะย้ายไปตั้งสำนักงานที่เกาะฮ่องกง

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ในยุคต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ชาติตะวันตกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในจีน โดยมีเซียงไฮ้เป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเขตเช่าของทั้ง ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังการปฎิวัติซินไฮในปี 1911 รัฐบาลชิงล่มสลาย เข้าสู่ยุค ขุนศึก ทำให้หลังจากนั้นเซียงไฮ้ กลายเป็นเมืองเถื่อน เกิดอิทธิพลนอกกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มชินปัง  ที่มีอิทธิพลอย่างมากในเซี่ยงไฮ้
ในยุคนั้น เซี่ยงไฮ้ เป็น แหล่งรวมของ อำนาจ เงินตรา ธุรกิจทั้งบนดินและใต้ดิน และที่นี่เองเป็นที่ก่อร่างสร้างตัวของบรรดานักเลงทั้งหลาย และที่เป็นระดับเจ้าพ่อยุคนั้น คือ 3 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวงจินหรง 黄金荣 จางเสี้ยวหลิน 张啸林 ตู้เยว่เซิง 杜月笙 แห่งแก๊ง ชิงปัง 青帮 แก๊งอิทธิพลที่มีอำนาจล้นฟ้าในยามที่บ้านเมืองแทบจะไร้ขื่อแป

หงจินทรง ฉายา หรงทอง (Golden Rong)
เขาเกิดในปี 1867 ที่ เจียงซู สมัยเด็กเป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียน และมุ่งหน้าไปที่ เซี่ยงไฮ้เพื่อแสวงโชค งานแรกเป็น ลูกจ้างเก็บของในโกดังสินค้า ต่อมา สมัครเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเขตเช่าฝรั่งเศส ไต่เต้าจนได้เป็น นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในตอนแรกเขาเป็นแค่คนรวบรวมข่าวสารของชาวบ้าน ต่อมาเขาใช้นโยบาย โจรจับโจร ทำให้เขารู้จักนักเลงมากมาย ทำให้ตำแหน่งของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่า คดีใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ มีคนเชื่อว่า  เขาเป็นคนวางแผนสร้างคดีขึ้นมาเอง และ แก้คดีเองมากกว่า แต่ตัวเขาเองกลับเข้าสู่ด้านมืดเสียเอง

เขาเริ่มต้นร่วมมือกับ  ตู่เย่วเซิง และจางเซี่ยวหลิน ได้สัมปทานขายฝิ่นในเขตเช่าฝรั่งเศส เปิดบ่อน และค้าหญิง แต่เขาก็ยังทำอาชีพตำรวจนเขาเกษียณอายุราชการในวัย 60 ปีเลยทีเดียว (ปี 1925)

ตู้เย่วชิง (22 สิงหาคม 1888 - 16 สิงหาคม 1951)

เขาเกิดในปี 1888 มรฑลเจียงซู อายุ 4 ขวบ ก็กำพร้าพ่อแม่ ถูกเลี้ยงดูโดยลุงของเขา อายุ 14 ขวบก็ไปเสี่ยงโชคที่ เซี่ยงไฮ้ เริ่มจากเป็นเด็กร้านขายผลไม้ โดยเป็นเด็กปลอกผลไม้ ฝีมือมีดของเขานั้น ได้ชื่อว่า สามารถปลอกเปลือกลูกแพร์ ได้โดยไม่มีรอยใดๆ จนได้ฉายา ลูกแพรเย่วชิง

และคบหานักเลง เขาติดการพนันอย่างหนัก พร้อมๆ กับฝึกกลโลงการพนันไปด้วย  จนโดนไล่ออกจากงาน แต่ในปี 1911 เขาก็ได้เข้ากลุ่ม ชิงปัง โดยยุคนั้นมี เฉินซื่อชาง เป็นลูกพี่ใหญ่แห่งเขตเสี่ยวตงเหมิน พาเขาเข้าแก็งค์ จนสามารถเข้าถึง หวงจินหรง ได้ โดยเขาได้รับผิดชอบการค้าฝื่น (ยุคนั้น ฝรั่งเศสให้สัมปทานในเซี่ยงไฮ้แก่ แก๊งค์นี้) และคุมบ่อนในเขตเช่าฝรั่งเศส จนมีรายได้มหาศาล

เขาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง แต่ก็รู้จักใช้คน พร้อมๆ กับเป็นคนประสานความสัมพันธ์ระหว่างนักเลงกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ยังตีสนิทกับนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะการซื้อใจคน เขาชอบทำทาน โดยเเฉพาะการซ์ื้อยาแจก ทุกครั้งที่มีภัยพิบัติ และมักปกป้องข้อพิพาทแรงงาน และเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นคนใส่สูทสุภาพ นุ่มนวล มีศิลป รวมถึงเขายังสร้างวัดขนาดใหญ่ีอกด้วย

จางเซี่ยวหลิน ชื่อเล่นคือ ไอ้เสือ 
เดิมเขาได้รับการฝึกทหาร แต่เรียนไม่จบ เริ่มต้นจากเขาติดการพนันอย่างหนัก  ทำให้เขาต้องมารับงานเป็นบอดี้การ์ดในหอนางโลม และบ่อนการพนัน  ต่อมาก็ได้เข้ากลุ่มชิงปัง เมื่อ 1912 และพยายามตีสนิท หวงจินหรง จนที่สุดเขาได้สาบานเป็นพี่น้องกับสองคนแรก  


3 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ปี 1912  ตู้เย่ว์ชิง จางเสี่ยวหลิน และหวงจนหรง ร่วมกันเปิด สัมปทานขายฝิ่นในเขตเช่าฝรั่งเศส รวมถึงบ่อน และค้าหญิงบริการ โดยตู่เย่ว์ชิง เป็นคนรับผิดชอบขายฝิ่น และบ่อนการพนัน ส่วน จางเสี่ยวหลิน รับผิดชอบการผสมฝิ่น

ปี 1927 ตู้เย่ว์ชิง จางเสี่ยวหลิน และหวงจนหรง ร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋ง ส่งคนไปลอบสังหาร แกนนำสมัชชาแรงาน ของพรรคคอมมิวนิสต์ และเหล่ากรรมกรที่ประท้วง ในปีเดียวกันนั้น เจียงไคเช็กแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้ พวกเขาก็ร่วมจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โต จนเขาได้รับความช่วยเหลือกลับจาก เจียงไคเช็ค เพื่อเปิด ธนาคาร จงฮุ่ย ในปี 1929

ปี 1937 ระหวางสงครามซิโน จีน ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2  ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเซี่ยงไฮ้ได้ ขณะที่ ตู่เย่ว์ชิง ก่อตั้งสมาคมปฎิบัติการภาคพลเรือน เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ตู่เย่วชิง และ หวงจินหรง หาเงินทุนสนับสนุนการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น และส่งเงินให้กับกองทัพก๊กมินตั๋ง รวมถึงวางแผนสังหารคนทรยศชาติไปหลายคน แต่ตู่เย่ว์ชิง หลบหนีออกนอกเซี่ยงไฮ้ไปอยู่ฮ่องกง

 กลับกัน จางเซี่ยวหลิน เลือกที่จะสนับสนุนญี่ปุ่น เขาจัดตั้งองค์กร ชื่อ สมาคมเอเชียใหม่เพื่อสันติภาพ เพื่อสนับสนุนกองทัพญี่ปุ่นอย่างออกหน้า นอกจากนี้ เขายัง ลอบสังหารชาวจีนที่ประกาศว่า รักชาติ รวมถึง จัดหาเสบียง อาหาร ยา อาวุธให้กองทัพญี่ปุ่นอีกด้วย

พรรคก๊กมินตั๋ง ต้องวางแผนลอบสังหาร จางเซี่ยวหลิน ถึง 2 หน ครั้งแรก ส่งกลุ่มคนไปดักยิงรถเขาที่ไฟแดง แต่คนขับรถของเขาขับฝ่าไฟแดงออกไป โดยที่รถเขาเป็นรถกันกระสุนอีกด้วย

จนพรรคก๊กมินตํ่ง ซื้อตัว หลินหวย ปู้ เป็นไส้ศึก หลังเหตุลอบสังหาร 2 ครั้ง จางเซี่ยวหลิน ต้องการ บอดี้การ์ดมือดี มาประกบ หลินหวย ปุู้ นั้นถูกส่งมา แน่นอนเขาเป็นมือปืนที่แม่นมาก และด้วยความช่วยเหลือของ คนขับรถ ทำให้ จางเซี่ยวหลิน พอใจอย่างมาก และให้หลินหวยปู้ มาเป็นบอดี้การ์ด 


14 สิงหาคม 1940 คฤหาสถ์ของเขาล้อมไปด้วยทหารญี่ปุ่นคุ้มกัน และวันนั้นมีจัดโอเปร่าในบ้านของเขา เมื่อถึงเวลา หลินหวยปู้ แกล้งทะเลาะกับ คนขับรถ เสียงดัง ทำให้ จางเซี่ยวหลิน ต้องออกจากคฤหัสถ์ มาดู จังหวะนั้นเอง หลินหวยปู้ ก็ลั่นไกสังหารจางเซี่ยวหลิน ทันที จบชีวิต หนึ่งในสามเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ 

ปี 1941 สงครามกับญี่ปุ่นจบลง พรรคก๊กมินตํ่ง กลับเข้ามามีอำนาจในเซียงไฮ้ แม้ว่า ตู่เยว์เชิง เดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ 

ปี 1942 หวงจินหรง ร่วมมือกับ ตู่เย่วเซิง ร่วม เหตุการณ์วันที่ 12 เมษายน กับพรรคก๊กมินตั๋ง สังหารแกนนำ และสมาชิกพรรคคคอมมิวนิสต์ เมื่อพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งมั่นที่นานกิง หวงจินหรงได้ตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษารัฐบาล

ปี 1946 ตู่เย่วเชิง ลงสมัครรับการเลือกตั้ง สภาท้องถิ่น แม้เขาจะชนะเลือกตั้ง แต่เขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคก๊กมินตั๋ง เขาจึงเลือกลาออกเอง

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เจียงไคเช็ค ส่งลูกชาย คือ เจียงเจิงกว๋อ เข้ามาดูแลเซียงไฮ้ เขาจับกุมตัว ตู้เหวยผิง ลูกชายของตู้เย่วชิง สั่งจำคุก 6 เดือนในข้อหาเก็งกำไรค่าเงิน  ทำให้เขารู้ดีว่า อำนาจของ ตู่เย่วเชิง ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุด พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้

ค.ศ. 1949 พรรคกว๋อหมินตั่งพ่ายแพ้แล้ว เซี่ยงไฮ้กำลังจะถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้ามายึด 

วันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1949 ตู้เยว่เซิง ขึ้นเรือโดยสารของฮอลันดามุ่งหน้าสู่ฮ่องกง ทิ้ง หวงจินหรง ไว้ที่เซี่ยงไฮ้

คืนหนึ่ง ตู้เยว่เซิงรีบร้อนมาที่คฤหาสน์ของหวงจินหรง เพื่อเกลี้ยกล่อม หวงจินหรง ให้หนีออกจากเซี่ยงไฮ้ไปกับเขา ทว่า หวงจินหรง ไม่คิดจะทิ้งเซี่ยงไฮ้ไป สาเหตุนั้นอาจเป็นเพราะว่า

หนึ่ง หวงจินหรงในเวลานั้นก็อายุย่างเข้า 80 ปีแล้ว

สอง เขาเชื่อว่าความดีความชอบที่ เขาเคยต่อต้านญี่ปุ่นจะช่วยปกป้องเขาได้

สาม เขามีรายชื่อ สายลับที่ทำงานให้กับเจียงไคเช็กอยู่ในมือ หวงจินหรง หวังจะใช้สิ่งนี้เป็นบรรณาการเอาใจพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเชื่อว่านี่จะทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัย

แต่เขาก็ยังส่งภรรยาหลวง คือ หลินกุ้ยเซิง เมียหลวหนีไปฮ่องกงพร้อมเงินสดและของมีค่า

ตู่เย่วเชิง เลือกอพยพไปฮ่องกง (ความจริงเขามีทางเลือกคือจะไปไต้หวันก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะไปฮ่องกงแทน) เขายังคงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน แต่หลังจากนั้น 2 ปี เขาก็เสียชีวิต ในวันที่ 16 สิงหาคม 1951 ศพของเขาถูกย้ายไปฝังที่ไทเป ประเทศไต้หวัน เพื่อเป็นเกียรติที่เขาเคยช่วยเหลือเจียงไคเช็ค และพรรคก๊กมินตั๋ง และสุดท้ายเมื่อภรรยาของเขาเสียชีวิตก็ได้นำศพมาฝังไว้คู่กัน

ส่วนชะตากรรมในบั้นปลายชีวิตของ หวงจินหรง เพราะเขาเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนเดียวที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ต่อ แม้จะเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว


วันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 เซี่ยงไฮ้ก็ได้รับการปลดปล่อย พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามายึดครองเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการ  หวงจินหรง ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจวัตรที่เขาทำประจำจนคนเซี่ยงไฮ้สมัยนั้นพูดกันจนติดปากว่า แต่ละวันของหวงจินหรง... 上午泡茶馆,下午泡澡堂。เช้าขลุกอยู่โรงน้ำชา บ่ายจมอยู่กับโรงอาบน้ำ

แต่เสือเฒ่าอย่าง หวงจินหรง ย่อมไม่เดิมพันด้วยไพ่ใบเดียว ด้านหนึ่ง เขาทำทีไม่อนาทรร้อนใจ อีกด้านหนึ่ง เขาวางแผนให้ หลี่จื้อชิง 李志清 ลูกสะใภ้ ขนเอาทรัพย์สินส่วนหนึ่งออกไปฮ่องกงก่อนหน้านั่นแล้ว โดยสั่งให้ ลูกสะใภ้ ไปตั้งรกรากตระเตรียมไว้ รอเวลาเหมาะๆ หวงจินหรงจึงจะค่อยตามไปสมทบ

ระหว่างนั้น หวงจินหรงก็ปล่อยข่าวว่า ถูกลูกสะใภ้ปล้นเอาทรัพย์สินไปจนหมดเนื้อหมดตัว เพื่ออำพรางไม่ให้ถูกยึดทรัพย์สิน โดยหวังว่าตัวเขาจะสามารถอยู่เงียบๆ เสพสุขแบบสบายๆ

ในขณะนั้นเมืองเซี่ยงไฮ้ ยังมีความวุ่นวายปล้นชิงอยู่ และส่วนมากพวกที่สร้างความวุ่นวายก็เป็นคนของชิงปัง พรรคคอมมิวนิสต์จึงส่งคนไปต่อรองกับ หวงจินหรง หวังอาศัยอำนาจอิทธิพลของหวงจินหรงในฐานะลูกพี่ใหญ่สั่งการให้ลูกสมุนหยุดสร้างความวุ่นวาย เพื่อให้สังคมสงบเรียบร้อย หวงจินหรงให้ความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี

เซี่ยงไฮ้จึงเหมือนสงบราบคาบ แต่ทว่า จีนในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจนั้น ยังคงมีคนของพรรคกว๋อหมินตั่งซุ่ม ก่อหวอด กระทำการลับๆ บ่อนทำลายพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งการลอบสังหาร การปล้นอาวุธ จึงเกิดนโยบายปราบปรามพวกปฏิกิริยาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ซึ่งก็หมายถึง พวก กว๋อหมินตั่ง ที่ยังตกค้างอยู่นั่นเอง

หวงจินหรง ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ประชาชนเรียกร้องให้จับกุมมาพิจารณาคดี หรือส่งไปใช้แรงงาน เพราะการก่อกรรมทำเข็ญของเขาในอดีต มีการบุกเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ของหวงจินหรง พบอาวุธปืน 10 กระบอก เท่านั้นยังไม่พอ ยังพบฝิ่นจำนวนมากด้วย (หวงจินหรงยังคงเสพฝิ่นอยู่) แต่ หวงหยวนเทา 黃源涛 ลูกบุญธรรมของหวงจินหรง ออกหน้ารับเป็นเจ้าของทั้งปืนและฝิ่นจึงถูกจับเข้าคุกแทน ส่วนหวงจินหรงรอด

แต่หวงจินหรงรู้ว่าตัวเองคงรอดไปได้ไม่นาน หากไม่ทำอะไรสักอย่าง

วันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1951 หน้าหนึ่งนสพ. เหวินฮุ่ยเป้า 文汇报 ในเซี่ยงไฮ้ ตีพิมพ์จดหมาย คำสารภาพผิด 自白书 ของหวงจินหรง ในเนื้อความระบุว่า  ตนรู้สำนึกผิดกับสิ่งไม่สมควรกระทำ และพร้อมจะชำระล้างเป็นคนดีในสังคมใหม่  พร้อมกับภาพ พของ ชายชราอายุ 84 ปี ถือไม้กวาด กวาดถนนอยู่หน้าตึกระฟ้าขนาดใหญ่

ชายชราผู้นี้ คือ หวงจินหรง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ผู้ที่เคยมีอิทธิพลล้นฟ้าประหนึ่งเจ้าชีวิต ส่วนตึกระฟ้านั้นคือ 大世界 The Great World แหล่งบันเทิงใหญ่กลางเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ หวงจินหรง เคยเป็นเจ้าของนั่นเอง


อนิจจา จากเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่คับเมือง มาสิ้นลายลงเอยเป็นตาแก่กวาดถนน! ไม่รู้ว่า หวงจินหรง ถูกทางการลงโทษประจานให้ได้อาย หรือ เป็นแผนสร้างภาพของตัวเขาเอง แต่ภาพนี้ก็ทำให้เขารอดการถูกปราบปรามมาได้อีก แต่เขาก้ถูกกักบริเวณ และถูกส่งไปใช้แรงงานเพื่อปรับปรุงความประพฤติ

วันที่ 20 มิถุนายน 1953 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวงจินหรงก็จบชีวิตลง ด้วยโรคชรา ในวัย 85 ปี


ในหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่มี สวีเหวินเฉียง ฟงฉฺิงฉิง และติงลี่ นั้นฟงจิ้นเหยาพ่อของฟงฉิงฉิง นั้น นำมาจาก ตู้เยว์เซิน นั่นเอง ..

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปรมาจารย์ ตัวจริง จาก Grand Master

The Grandmaster (สปอย)

The Grandmaster ของหว่องกาไว นั้นเป็น นิยายที่อิงเรื่องจริงในประวัติศาสตร์  โดยอ้างอิง ยิปมัน เป็นตัวเดินเรื่องหลัก และเน้นผูกเรื่องเพื่อให้  เหล่า ปรมาจารย์กังฟู (ตามชื่อหนัง) มาผูกเรื่องเข้าด้วยกัน มาแต่งเรื่องใหม่

เนื้อเรื่อง
ในยุคทศวรรษที่ 1930 กงยู่เถียน เดินทางมาจากทางเหนือ มาเพื่อประกาศรวบรวมมวยทางใต้เข้ากับทางเหนือ (ก็คือ ท้าประลองนั่นเอง หากมวยทางใต้แพ้ ก็หมายความว่า ใครจะฝึกมวยที่แพ้)  โดยทางใต้นั้นเลือก ยิปมัน แห่งฝอซาน (ที่นักประวัติศาสตร์ กังฟู สงสัยว่า ทำไมต้องเป็น ยิปมัน เพราะทางใต้ยุคนั้นมียอดมวยเยอะมาก และหากเป็น หย่งชุน ที่ฝอซาน ยิปมันในตอนนั้นก็ไม่ใช่มือหนึ่งของหย่งชุนแน่นอน เพราะ สายหย่งชุนนั้นลงรากฐานที่ฝอซานยุคนั้น)

แต่เอาเป็นว่า หว่องกาไว อาจต้องการผูกเรื่องคนดังๆ ไว้ด้วยกันก็เป็นได้

หลังจากนั้น ลูกสาว กงรั่วเหมย ลูกศิษย์หม่าซัน  และ รุ่นน้องของกงยู่เถียน ติ่งเหลี่ยวซาน ก็เข้ามาห้ามไม่ให้สู้กับ ยิปมัน ที่เป็นกังฟูหน้าใหม่ เพราะจะเสียเกียรติของตัวเองเปล่าๆ แต่การต่อสู้ระหว่าง กงยูเทียน กับ ยิปมันนั้นกลับเป็นการต่อสู้ด้านปรัชญาแทน ครั้งนั้น ยิปมันตอบโจยก์ของผู้เฒ่า กงยู่เทียนได้ กงยู่เทียนจึงยอมรับในความสามารถของยิปมัน

ต่อมา กงรั่วเหมย ลูกสาวกลับมาขอแก้มือกับยิปมัน ยิปมันกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป ต่อมาญี่ปุ่นบุกจีน ในสงครามซิโนจีน ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ทำให้ยิปมันต้องเดินทางไป ฮ่องกง ส่วน หม่าซํน ลุกศิษย์กลับไปเข้าข้างญี่ปุ่น ทำให้อาจารย์กงยูเทียนต้องสั่งสอนศิษย์ ว่าจะสอนไม้ตาย ท่า ลิงหันหลังแขวนป้าย ให้ ความจริงเป็นปรัชญาเตือนศิษย์ว่า ยังกลับตัวทัน แต่หม่าซันไม่ยอมกลับตัว อาจารย์จึงลงมือ หม่าซันพลาดลงมือกับอาจารย์จน กงยู่เทียนตาย

กงรั่วเหมย ประกาศล้างแค้นแทนพ่อ แม้ว่า ก่อนตายพ่อจะสั่งเสียให้ปล่อยวางเรื่องนี้ และให้แต่งงานมีครอบครัวใหม่ แต่เธอประกาศยกเลิกงานหมั้น ฝึกวิชา เพื่อล้างแค้น และในคืน วันปีใหม่ เธอก้ไปดักรอหม่าซันที่สถานีรถไฟ เพื่อล้างแค้น แม้ว่าเธอจะล้างแค้นได้สำเร็จ แต่เธอก็ปาดเจ็บจนต้องเสพฝิ่นตลอด

ขณะที่มีดโกนนั้น โดนตามล่าจะนักฆ่าที่ถูกส่งมาฆ่าตลอด โดยครั้งหนึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือจากกงรั่วเหมยด้วย  จนหนีไปฮ่องกง เพื่อเปิดร้านตัดผม ยังมีนักเลงมาหาเรื่อง จนสุดท้ายเขาก็เปิดโรงเรียนกังฟูสำเร็จ เช่นเดียวกับ ยิปมัน 

กงยู่เถียน 
กงยู่เถียน ในหนังนั้น เขาถือเป็นสุดยอดฝีมือทางเหนือ ครั้งนี้ต้องการมาปะลองกับทางใต้ เพื่ออยากหาผู้สืบทอดตำแหน่ง 'ปรมาจารย์"

ตัวละครนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจาก กงเป่าเทียน (Goung Baotian 1871-1943) เขาถือเป็นสุดยอดกังฟูแห่งยุคนั้น โดยเขาเชี่ยวชาญ มวยปากัว (มวย 8 ทิศ)  เขาเกิดที่ซานตง เริ่มงานเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาได้เป็นลูกศิษย์ของ ยอินฝู่ Yin Fu (โดย ยอินฝู่ คือ ลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก ตงไห่ชวน ผู้คิดค้น เพลงมวยปากัว ขณะที่ ตงไห่ชวน และยอินผฝู่ก็มีตำแหน่งเป็นถึง องค์รักษ์พิทักษ์ฮ่องเต้ โดยระบบองค์รักษ์ฮ่องเต้ จะถูกคัดเลือกจาก กองธงทั้ง 3 ที่เก่งที่สุดของแมนจู)

มีเรื่องเล่าที่ต่างกันไป สำหรับ กงเป่าเถียน ที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ยอินฝู่  เรื่องหนึ่งคือ พี่ชายเขา กงเป่าซาน เป็นลูกศิษย์ของ อยินฝู่ ก่อนได้ และจึงได้แนะนำ กงเป่าเถียน มาเป็นศิษย์

อีกเรื่องคือ เขาต้องเดินผ่านที่ อยินฝู่ สอนทุกวัน แต่ทุกวันเขาจะหยุดดู จนอาจารย์ อยิน เรียกเข้ามาสอบถามว่า ถ้าอยากเรียนก็มาฝึกร่วมกัน แต่เขายืนยันว่า เขาไม่มีเงิน และตัวเขาก็เก่งกังฟูอยู่แล้ว  อาจารย์หยินจึงให้เขาแสดงกังฟูให้ดู 1 กระบวนท่า(ที่เขาได้แอบดู)  อาจารย์หยิน ก็รับเขาเป็นศิษย์ทันที

ขณะยังเด็ก เขาได้ชื่อว่า เป็นคนที่มีพลังขาแข็งแรงและสามารถกระโดดได้สูงกว่าคนทั่วไป และ เขายังสามารถทรงตัวบนขอบตระกร้าหวายได้ตั้งแต่เด็กแล้วด้วย  นอกจากนี้ หากมีคนปล่อยนกให้บินขึ้นไป เขายังสามารถกระโดดขึ้นเพื่อจับนกตัวนั้นไว้ในมือได้อีกด้วย

ตัวเขาเองถือว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ มวยปากัว อย่างมากโดยเฉพาะ ท่าที่เน้นทำลายกระดูกคู่ต่อสู้ นอกจากนี้ นิ้วเขาก็แข็งแกร่งมาก รวมถึงยังฝึดวิชาชิงกง (วิชาตัวเบา) อีกด้วย

เขาเริ่มงานด้วยการเป็นผู้คุ้มกันระดับ นายพล 8 ธงของแมนจู ต่อมาถึงได้เป็นรับตำแหน่ง ผู้คุ้มกันจักรพรรดิกว่างสี โดยปกติ ราชวงส์ชิง จะตัดสรรคนที่เก่งที่สุดจากหน่วยธงต่างๆ มาเข้ารับการคัดเลือกเพื่อรับหน้าที่ดังกล่าว โดยเขามีชื่อในประวัติศาสตร์ ในยุคกบฎนักมวย อี้เหอเถียน เนื่องจาก เขาเป็นคนพาซูสีไทเฮา และจักรพรรดิกวางซี หนี ตอนพันธมิตร 8 ชาติบุกวังปักกิ่ง

ในหมู่ชาวยุทธ์ มักเรียกเขาว่า "ลิงกง" เพราะ เขาเป็นคนที่เคลื่อนไหวเร็วมาก และ มักใช้ท่าลิงในมวยปากัว (ในหนังก็จะมีการสอนไม้ตายให้ลูกศิษย์ ในท่าลิงแขวนป้ายด้วย)  และเขาถือยอดยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเรื่องเล่าว่า ปกติเขาจะเป็นคนคุ้มครองนายพล ซางเซ่าหลิน โดยนายพลได้จัดงานปาร์ตี้และได้ถามเขาว่า ถ้ามีคนชักปืนจ่อหัวคุณ คุณจะทำเช่นไร พร้อมกับชักปืนมาจ่อหัว  แต่มือยังไม่ทันขยับ มือของกงเป่าเถียน ก็จับข้อมือของจางไว้แน่นเรียบร้อยแล้ว นายพลจางเซ่าหลินนั้น เป็นคนที่ชื่นชอบกงเป่าเทียนเป็นอย่างมากอีกด้วย

ความจริงเขามีฉายาอีกชื่อ คือ นิ้วเหล็กเป่าเถียน มีเรื่องเล่าว่า เขาเพียงใช้นิ้วลูบไปบนไม้หนา 5 เซนติเมตร แต่เนื้อไม้กลับสึกไป 3 เซนติเมตร ตามรอยนิ้วของเขา ครั้งหนึ่ง เคยมีอาจารย์วิชาหมัดตั๊กแตน มาท้าทายต่อสู้กับเขา อาจารย์คนนี้ตัวใหญ่กว่าจึงใช้ท่ากอด  เขาเพียงแค่บิดตัวเล็กน้อย และ ใช้นิ้วมือจู่โจมไปที่ซี่โครงของคู่แข่ง เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ของเขากระดูกซี่โครงหักเลยทีเดียว

ต่อมา เขาได้รับคำสั่งให้ไปปกป้อง จอมพลหนุ่มซางซู่เหลี่ยนที่ปักกิ่ง ทำให้จอมพลซางเซ่าหลิน โดนลอบสังหาร ทำให้เขารู้สึกไม่ดีและเลือกที่จะลาออก เพื่อกลับบ้านเกิดที่ซานตง เพื่อเปิดโรงเรียนสอนมวยปากัว  เพราะเขาเคยรับปากทั้งน้ำตากับอาจารย์ อยินฝู่ ว่า เขาจะสืบทอดวิชา ปากัว ให้แก่คนรุ่นถัดไป โดยบ้านเกิดของเขานั้น แม้จะมี 2 ชั้น แต่จะไม่มีบันได เขาจะใช้ไม้กว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 2.4 เมตร วางพาดไว้เท่านั้น เวลาขึ้นจะเดินตามไม้ขึ้นไป แต่ตอนลงจะกระโดดลงมา

หลังจากนั้นเขาก็มีลุกศิษย์มากมาย มีลูกศิษย์คนหนึ่งอยากสร้างชื่อเสียง จึงไปลงแข่งประลองยุทธ เขากลับสั่งห้ามทันที และสั่งให้ลูกศิษย์คนนี้ยอมแพ้ในการประลองยุทธทันที (ในหนัง หม่าซันลูกศิษย์เขาเข้ามาขวางทางคนจะท้าสู้กับอาจารย์ และลงมือกับยอดยุทธ์ไปหลายคน  กงอี้เถียน สั่งห้ามหม่าซัน และ ให้หม่าซันซ่อนตัว ห้ามแสดงฝีมือเด็ดขาด 10ปี)

บั้นปลายชีวิต เขาติดฝิ่นอย่างหนัก (ความจริงเขาติดฝิ่นตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว แต่เพิ่งเริ่มส่งผลต่อสุขภาพยามแก่ ) นอกจากนี้ ลูกของเขา กงจินถัง ก็มาถูกญี่ปุ่นสังหาร นั่นทำให้เขาเศร้าโศกมาก และเป็นสาเหตุให้เขาเสียขีวิตในปี 1943

รายคนที่มาดักท้าประลองกับยิปมันต้นเรื่อง
1. หญิงโรงงิ้ว ใช้มวยปากว๋อ (ไม่ใช่ ปากัวนะครับ ปากว๋อ หลี่ฉุนยี่ ดัดแปลงมวยสิงอี้ เป็นมวย ปากว๋อ ที่ดังจะเป็น ดาบเดี่ยว ตามที่หญิงโรงงิ้วบอก)
2. ชายแก่คนที่สอง ใช้มวยสิงอี้ (ในหนัง เขาประกาศชัดว่า มวยสิ่งอี้ กำเนิดมาจาก งักฮุย ผู้รักชาติ ซึ่งเป็นตามประวัติศาสตร์ของมวยสิ่งอี้ครับ)
3. ชายวัยเท่ายิปมัน ผมไม่รู้จริงๆครับ คนแปลมวยเขาว่า มวยฮั่งเก๋อ แต่ผมไม่รู้จัก

กงรั่วเหม่ย
ลูกสาวคนเดียวของ กงยู่เถียน ปรมารย์กังฟู ผู้ได้รับการถ่ายทอด 64 ฝ่ามือ จากพ่อของเธอ เธอละทิ้งทุกอย่างเพื่อล้างแค้นให้พ่อ  ตัวละครของเธอได้รับแรงบันดาลใจจาก สี่ เฉียนเกี้ยว  Shi Jianqiao (1906-1979)

(ยุคขุนศึก คือหลังราชวงศ์ชิง ล่ม แม้หยวนซื่อไข่จะขึ้นเป็นประธานธิบดี แต่ต่อมาเขาเสียชีวิตลง ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน โดยเฉพาะกลุ่มทหารเป่ย์หยาง และทหารมณฑลต่างๆ จนกระทั่งพรรคก๊กมินตํ่ง ได้รวบรวมคนได้อย่างเป็นทางการ ยุคนั้นมีทหารเข้าร่วมศึกนี้รวมทุกฝ่ายถึง 1 ล้านนาย มีก๊กต่างๆกว่า 20 ก๊ก ก๊กใหญ่สุด คือ ก๊กเฝิงเทียน ของจางจั่วหลิน ครองตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หรือแมนจูกั๊ว)  ขณะที่เจียงไคเช็ก ของพรรคก๊กมินตั๋ง อยู่ที่กวางตุ้งรวบรวมคนที่กวางตุ้งก่อนจะบุกขึ้นเหนือ ตั้งนครหนานจิง เป็นเมืองหลวงได้สำเร็จ)

กลับมาเรื่องของ พ่อของ สี่ เฉียนเกี้ยว นั้นป็น ผู้อำนวยการทหารในเขตซานตง ภายใต้ ขุนศึกจางจงชาง 张宗昌 ทหารในอาณัติของ จางจั้วหลิน 张作霖 ขุนศึกแมนจูเรีย )  ทำสงครามทางภาคเหนือ กับก๊กจื่อลี่ (ปัจจุบันคือเหอเป่ย์)  (เรียกสงครามครั้งนั้นว่า สงครามก๊กเฝิงเทียน-ก๊กจื่อลี่ครั้งที่ 2)   ในปี 1925 พ่อของเธอพยายามจะยึดมณฑลซานตง แต่กลับพบว่า ตัวเขากลับถูกล้อมรอบด้วยกองทัพของก๊กจื่อลี่  โดยนายพล ซุนฉวนฟาง สามารถชนะศึกนั้น และจับตัวพ่อของเธอมาประหารชีวิตด้วยการตัดหัวต่อหน้าสาธารณชน ที่สถานีรถไฟ (ในหนังเป็นฉากแก้แค้น ที่สถานีรถไฟเช่นกัน)

หลังจากนั้น 2 ปี ซุนฉวนฟาง ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ก๊กมินตั๋งสามารถบุกขึ้นเหนือได้ และไม่ต้องการขุนศึกท้องถิ่นอีกต่อไป ซุนฉวนฟางจึงมาก่อตั้งสมาคมนับถือศาสนาพุทธที่เทียนจิน

เธอสาบานว่าจะแก้แค้นแทนพ่อ  10 ปี หลังจากนั้น เธอก็คอยติดตาม ซุนชวนฟาง จนในที่สุด บ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน 1935 ในเทียนจิน  เมื่อได้จังหวะ เธอก็เข้าประกบ ซุนชวนฟาง จากด้านหลัง ขณะที่เขากำลังนำบทสวดมนตร์ หลังจากนั้น เธอก็ยิงปืนไป 3 นัด ยิงเสร็จ เธอก็อธิบายกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และ แจกกระดาษพับที่เขียนด้วยลายมือของเธอพร้อมกับรอยประทับนิ้ว ให้ด้วย ว่านี่คือการแก้แค้นให้พ่อ

เธอถูกจับตัว จนในที่สุด วันที่ 13 สิงหาคม 1936 ศาลสูงสุดตัดสินให้จำคุก 7 ปี แต่แล้วในวันที่ 14 ตุลาคม 1936 รัฐบาลแห่งชาติ ก็ลงนามให้เธอได้รับอภัยโทษจากรัฐบาลจีน เพราะการลอบสังหาร ซุนชวนฟาง เป็นไปด้วยความชอบธรรมในฐานะลูกกตัญญู  ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันมากระหว่าง นิติกรรม กับ จริยธรรม

หลังจากนั้นเธอ ยังได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสตรี แห่งซูโจว และเป็นคณะกรรมการเทศบาลของพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย

เธอเสียชีวิตในปี 1979 ในโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ติ่งเหลียวซาน หรือผู้ติดตาม คุณหนูกงรั่วเหมย
ติ่งเหลียวซาน นั้นได้ต้นแบบมาจาก กงเป่าซาน ลูกพี่ลุกน้องของ กงเป่าเทียน เขาถือเป็นมือสังหารระดับสูงสุดของราชวงศ์ชิง  ยุคนั้น เขาลอบสังหาร คนระดับชั้นนำไปจำนวนมาก โดยกงเป่าเทียน เคยปล่อยเขาออกจากคุก

มีดโกน หรือ อวี้เซียนเถียน
ในหนังจะมีสายลับคนหนึ่ง ใช้เพลงมวยปาจี้ (จะภาพยนตร์จะเห้นเขาใช้ศอกเป็นหลัก) พยายามออกจากจีน ไปฮ่องกง เพื่อเปิดร้านตัดผม แต่ความจริงแล้ว เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก หลิวหวินเฉียว  Liu Yum Qiao  เขาเกิดที่มณฑลเหอเป่ย ในหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าแม้แต่สตรี ก็เป็นวิทยายุทธ์ ตระกูลของเขาเป็นผู้ปกครองที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก สมัยเด็ก เขาได้รับการฝึกจากผู้คุ้มกันปู่ของเขา วิชา หมีจง

ถัดมาปู่ของเขาก็จ้าง เห ผู้เชี่ยวชาญมวยปาจี้(คราด ต่อมาจึงกลายเป็นมวยแปดปรมัตถ์  8 ท่า ) และหอก ฉายา "หอกเทวดา" มาสอน ยุคนั้น อาจารย์หลี่ ถือเป็นสุดยอดฝืมือทางเหนือแห่งยุค หลิวได้รับการฝึกจากอาจารย์หลี่ถึง 10 ปี แม้ว่าปีแรก จะฝึกแค่ท่ายืนม้า ก็ตาม แต่สุดท้าย หลิวเหวินเฉียว ก้สำเร็จปาจี้ฉวน (มวย 8 ท่า) หลังจากนั้น หลี่ก็พา หลิวไปท่องยุทธจักรอีก 5-6 ปี

เนื่อจาก หลี่ซูเหวิน รู้จักกับนายพลจาง จึงได้พาเขาไปแนะนำกับ กงเป่าเทียน (ในประวัติระบุว่า กงเป่าเทียนเชี่ยวชาญ วิชาปากัว กับวิชาตัวเบา (ชิงกง) ทำให้เขาได้พบเจอกับ กงเป่าเทียน

เมื่อเขารับราชการทหารในหน่วยสายลับ เขาเปลี่ยนชื่อเป็น เซียนจื้อเหวิน  แต่ประวัติของเขาที่สำคัญคือ มีจอมพล ซุนฉวนฟาง  ได้ไปหลบซ่อนตัวในวัด พร้อมกับคนคุ้มกันเป็นสิบ แต่เขากลับบุกเข้าไปฆ่านายพลซุนฉวนฟางได้อย่างง่ายดาย

ระหว่างสงครามญี่ปุ่น เขารับคำสั่งให้สังหารคนขายชาติ โดยเฉพาะ ถังเซ้ายี่  ที่ญี่ปุ่นแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเทียนจิน เขาก็สามารถบุกเข้าไปสังหารได้โดยง่าย แต่ระหว่างหนี เขากลับถูกทหารญี่ปุ่นจับตัว เนื่องจาก เขาแข็งแรงเกินไป ทหารญี่ปุ่นก็จับเขาเช่นนักโทษธรรมดา ระหว่างนั้น หลิวก็แหกคุกญี่ปุ่นออกมา เจอทหารชาวจีนฝ่ายตรงข้าม เขาก็ขอร้องทหารชาวจีนให้ปล่อยตัว ทหารจีนจึงยอมปล่อยตัวไป

แต่ปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์เขายึดจีน เขาต้องหนีไปไต้หวัน เขายังคงเป็นทหารต่อไป และเสียชีวิตในปี 1992 ทำให้วิชาปาจี้ฉวน เป็นวิชามวยของทหารไต้หวัน ไปโดยปริยาย

หม่าซัน
ส่วนหม่าซัน ลูกศิษย์ของกงเป่าเทียน นั้น มีตัวตนจริง เป็นลูกศิษย์ของกงเป่าเทียนจริง และนามสกุลหม่าเหมือนกัน  แต่ไม่พบประวัติว่าเป็นอย่างไร

ขอบคุณที่รับฟังครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

จีน (1786-1822) จาง เป๋าจ่าย โจรสลัดกลับใจ

จางเป่าจ่าย (张保仔) มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1786-1822 ต้นฉบับเซาเฟง (โจวเหวินฟะ) เดิมมีชื่อว่า จางเป่า (张保) เป็นคนอำเภอซินหุ้ย (新会) เมือง เจียงเหมิน (江门) ในมณฑลกวางตุ้ง เขาคือ โจรสลัดชื่อดังย่านกวางตุ้ง เกาะเกาลูน มาเก๊า และฮ่องกง ในยุคราชวงศ ชิง

ช่วงทศวรรษที่ 1770-1790 ช่วงนั้น ต่างชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทในจีนอย่างหนัก จักรพรรดิเจี่ยชิงต้องเผชิญหน้ากับ กบฎพรรคบัวขาว การแยกตัวของเวียดนาม กับเหล่าโจรสลัดทะเลจีนใต้ เนื่องจาก เริ่มแรก ชาวประมงมีการลักลอบค้าขายกับต่างชาติ (ช่วงนั้นรัฐบาลจีนผูกขาดการค้าต่างชาติไว้กับตนเท่านั้น) ชาวประมงจึงกลายร่างเป็นทั้ง พ่อค้า และ โจรสลัด โดยเฉพาะย่าน มณฑลกวางตุ้ง ไปจนถึงเวียตนาม โดยเฉพาะแถบหมู่เกาะฮ่องกง เกาลูน และเกาะลันเตา โจรสลัดระบาดมากปล้นไม่เว้นแม้แต่ กองทัพเรือต่างชาติ อย่างกองทัพเรือของโปรตุเกส ก็ถูกปล้นด้วย  โดยช่วงเวลานี้เอง ที่บริษัทจากอังกฤษ เริ่มเอาฝื่นเข้ามาขายในประเทศจีน และรัฐบาลจีนก็ไล่กำจัดฝื่น (ช่วงก่อนเกิดสงครามฝิ่น)


โจรสลัดเกิดขึ้นมีหลายก๊ก แต่ในปี 1805 เหล่าโจรสลัดขนาดใหญ่ 7 กลุ่มก็ลงนามเป็นพันธมิตรกัน นำโดย เจิงอี้ โจรสลัดธงแดง กัวผ่อไต๋ โจรสลัดธงดำ 



จางเป่าจ่าย เป็น บุตรชายของชาวประมง เกิดในปี 1786 ในรัชสมัย เฉียนหลงฮ่องเต้ แถบชายฝั่งทะเล ซานฮุย ในมณฑลกวางตุ้ง วัยเด็กเขาก็ออกหาปลากับพ่อของเขา แต่เขากลับถูกลักพาตัวไปโดย เจิ้งอี้ หัวหน้าโจรสลัดกองเรือธงแดง เจิ้งอี้ นั้นชื่นชอบตัวเขามาก และมักเรียกเขาเป็น บอดี้การ์ดประจำตัว  เมื่อตอนอายุ 15 ปี เขาก็กลายเป็นบุตรบุญธรรมของเจิ้งอี้

ต่อมาปี 1807 เจิ้งอี้ เสียชีวิตแบบกะทันหันในพายุทะเล ในแถบเวียตนาม ภรรยาของเจิ้งอี้ ที่ชื่อ ชิงเชอะ (แปลว่า แม่หมายแห่งราชวงศ์ชิง) หรือ เจิ้ง อี้เส้า (ชื่อเดิม เชอะหยาง) และ เจิ้งอันผง หลานชาย กลายเป็นผู้นำกองทัพโจรสลัดแทน   ความน่ากลัวของ ชิงเชอะ  คือ เธอเป็นหญิงที่แข็งแกร่งมาก ได้รับการฝึกวิชาการต่อสูั และสามารถยกปืนพร้อมกันทั้งซ้ายและขวาพร้อมกับยิงปืนได้พร้อมกันอีกด้วย แถมเธอยังออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามข่มขืนเชลยหญิง จนได้รับการนับถือในหมู่โจรสลัด

ขณะที่ จางเป๋าจ่าย กลายมาเป็นมือขวาของ ชิงเชอะ ภายใต้กองเรือของ ชิงเชอะ ช่วงรุ่งเรืองนั้นมีคนมากถึง 40000 คนและเรือรบอีก 1000 ลำ ถือเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในทะเลจีนใต้ ยุคนั้น นอกจากนี้ยังมี โจรสลัดธงดำ และธงน้ำเงินที่คอยป่วนย่านนั้นอีกด้วย

และในที่สุด จาง เป๋าจ่าย ก็แต่งงานกับ ชิงเชอะ แม่บุญธรรมของตัวเอง และหากถือว่า เจิ้งอี้นั้นคืออาจารย์ของเขา ชิงเชอะก็คือ อาจารย์แม่ของเขานั่นเอง ซึ่งสังคมแบบศักดินาโบราณนั้น ถือว่า เป็นเรื่องต้องห้าม (เหมือนเอี้ยก๊วยกับเซียวเล่งนึ่งในมังกรหยกภาค 2)

บันทึก นักธุรกิจที่เคยถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ นั้น ระบุว่า ชิงเชอะ เป็นคนออกคำสั่ง และรุนแรง โดยเฉพาะ ก
ฎเหล็ก คือ
ใครหลบหนี ต้องถูกประหาร
 ใครขโมยสมบัติ หรือขโมยของชาวบ้านจะต้องถูกประหาร
ใครข่มขื่น เชลยหญิง ต้องถูกประหาร

นอกจากนี้สมบัติที่ปล้นมาได้ของเขา จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งคือสวรรค์ ส่วนที่สองคือ ดิน และส่วนที่ 3 คือ คน มีคนตีความว่า่ สวรรค์คือ เขานำไปหล่อพระพุทธรูป สร้างวัด ขณะที่ คน คือ นำมากินมาใช้ ส่วนที่เป็น ดิน นี่เองที่หลายคนตีความว่า สมบัติของ จางเป๋าจ่าย นั้น ถูกฝังในถ้ำที่ฮ่องกง

จากกฎเหล็กที่เข้มแข็ง ทำให้เขามักได้รับการชื่นชมจากลูกเรือ โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต เขามักได้รับการช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ โดยเฉพาะจากนักพรตเต๋า ที่มักทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ้อ้อนวอนต่อเทพเจ้า ทำให้ทุกคนต่างเชื่อ และปฎิบัติตามความคิดของเขาเสมอ

เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก มีทั้งการวางแผนแบบแยบยล และการลงมือที่ประสบผลสัมฤทธิ์เสมอเสมอ ทำให้หัวหน้าโจรสลัดก๊กเล็ก ก๊กใหญ่ ต่างชื่นชมในตัวเขา นอกจากนี้ ขณะสะสมเสบียงที่ต้องซื้อของจากชาวบ้าน เขาก็ซืั้อสินค้าราคาสูง 2 เท่าเสมอ ทำให้ชาวบ้านต่างก็ชื่นชมเขา นอกจากนี้ยังสั่งการว่า ห้ามปล้นคนในพื้นที่เด็ดขาด

เขาชอบดักปล้นแถวเกาลูน ฮ่องกง โดยเฉพาะที่ วิกตอเรียพีค จุดที่สูงที่สุดในฮ่องกง นั้น เขาจะใช้เป็นจุดส่งสัญญาณธงของเขา เพื่อให้เรือเล็กๆ ของเขาบุกพร้อมกันทุกด้าน

เขามักดักปล้นเรือจากราชสำนักและเรือเดินสมุทร ทางการส่งทหารมาปราบหลายครั้ง จนมาถึง จางปา่ยหลิ ผู้ปกครองสองมณฑล คือ กวางตง และกวางสี เข้าปราบปราม ที่เกาะลันเตา รัฐบาลวางแผนโดนการตัดเสบียง และปิดกั้นการช่วยเหลือ ห้ามเรือทั้งหมดออกทะเลทั้งหมด  โดยทางการใช้เรือนับพัน ปืนอีกนับร้อยกระบอก ไปล้อม กลุ่มของ จางเป๋าจ่าย ที่ตอนนั้นเหลือเรือแค่ 300 ลำ  ตามบันทึกของโปรตุเกส ระบุว่า ศึกนั้นดุเดือดมาก กลุ่มโจรสลัดพยายามใช้กลยุทธ์บุกขึ้นเรือ แต่โดนปืนกระหน่ำยิงตลอด ต่อมาโจรสลัดจึงแบ่งเป็น 6 กลุ่ม และค่อยๆหลบหนีหายไปกับสายหมอก

อย่างไรก็ดี มีบันทึกบางอันระบุว่า แม้เขาจะถูกปิดล้อม แต่เขาก็ปลอมตัวเป็นทหาร เพื่อไปซื้อเสบียงอาหาร แทน

ศึกถัดมา เขาพยายามเข้าปล้น ทะเลเขต หุ้ยเสี้ยน โดยเฉพาะหมู่บ้าน เฉาเสียน นายอำเภอไปตั้งรับที่เจียงเหมิน นำปืนใหญ่ไปตั้งเรียงราย รอต้อนรับ จางเป่าจ่าย เมื่อรุกเข้าไปเห็นท่าไม่ดีก็ล่าถอย โดยบอกกับลูกน้องว่า เราไม่กลัวชาวเฉาเหลียน แต่กลัวเทพเจ้าเฉาเหลียน  จากนั้นก็หันหน้ากลับ หลบหนีการเสี่ยงต่อหายนะ กับทางการ

เมื่อเกิดสงครามโปเลียนขึ้นในยุโรปอังกฤษได้จัดตั้งกองทหารขึ้นที่มาเก๊าในเดือนกันยายน 1808 เพื่อป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของชาวฝรั่งเศสอย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใด ๆ กับโจรสลัด เมื่อ Pereira Barreto ออกจากมาเก๊าการละเมิดลิขสิทธิ์ของจีนขู่ว่าจะตัดการขนส่งทางทะเลของมาเก๊า ในช่วงต้นเดือนกันยายน 1809 โจรสลัดจับเรือค้าโปรตุเกสที่มาจากประเทศติมอร์ฆ่าลูกเรือทั้งหมด ดังนั้นวุฒิสภาภักดีของมาเก๊า ( Leal Senado ) ติดอาวุธสามลำได้รับคำสั่งจากกัปตันปืนใหญ่José Pinto Alcoforado de Azevedo e Sousa พร้อมคำสั่งเด็ดขาดเพื่อทำการลงโทษโจรสลัด [3] เรือรบของอังกฤษที่ถูกยึดครองโดยมาเก๊าตกลงที่จะช่วยเหลือโจรสลัดตามการชักชวนของผู้ว่าการ

ยุทธนาวีที่ปากเสือ
ศึกก่อนสุดท้ายในฐานะโจรสลัดของ จางเป๋าจ่าย ชื่อ ยุทธการที่ปากเสือ เริ่มต้นในปี 1809 มีโจรสลัดไปปลุกปล้นเรือการค้าของโปรตุเกส และฆ่าลูกเรือทั้งหมด ทำให้วุฒิสภาของมาเก๊ามีคำสั่งเด็ดขาดให้จับโจรสลัดมาลงโทษ  ขณะที่เรือรบจากอังกฤษก็ตกลงที่จะช่วยเหลือด้วยในการจับโจรสลัดด้วย

เริ่มต้นวันที่ 15 มิถุนายน 1809 กองทัพเรือโปรตุเกส จำนวนประมาณ 40 กว่าลำ ออกจากท่าเพื่อออกหา เรือโจรสลัด ส่วนเรือของอังกฤษยังคงอยู่ที่ท่าเรือ ต่อมา วันที่ 16 มิถุนายน 1809 กลุ่มโจรสลัดกลับบุกเข้าโจมตีกองทัพโปรตุเกส ครั้งนั้น ลูกเรือโปรตุเกสก่อกบฎ รีบหันเรือหนีกลับเข้าฝั่ง

เข้าสู่กันยายน 1809 กองทัพโปตุเกส ออกล่าโจรสลัดอีกครั้ง แต่กลับพบว่า เรือโจรสลัดจำนวน 200 ลำ ไล่ยิงกองทัพโปตุเกสแทน ครั้งนี้ กัปตันต้อหนีกลับมาขึ้นฝั่งที่มาเก๊าอีกครั้ง

พฤศจิกายน 1809 ฑูตจีนเสนอตัวเข้ารวมล่าโจรสลัดด้วย  ครั้งนี้ถือเป็นกองทัพเรือขนาดใหญ่ 100 กว่าลำ  เพราะมีทั้งกองทัพเรือจากรัฐบาลชิง และ กองทัพโปตุเกส มาถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2 กองทัพกับกลุ่มโจรสลัดก็เข้าตะลุมกันเกือบ 9 ชั่วโมง เรื่อโจรสลัดก็จมลง 15 ลำ และเสียหายอีกหลายลำ แต่กลับมีโจรสลัดกลุ่มอื่นเข้ามาช่วย ทำให้กองทัพโปตุเกส และชิง ต้องล่าถอย 

ยุทธนาวี Chek Lap Kok 

11 ธํนวาคม จางเป๋าจ่าย ก็สั่งให้โจรสลัดทั้งหมด เคลื่อนพลไปใกล้ๆ มาเก๊าะ เพื่อหาทางล่ากองทัพโปตุเกสคืนบ้าง  กองทัพโปตุเกส ต้องสูญเสียอีก  15 ลำ ก่อนจะล่าถอยอีกครั้ง จางเป๋าจ่าย เสนอข้อตลงสงบศึก แต่ทางโปตุเกสปฎิเสธข้อเสนอนี้ แต่ทางรัฐบาลจีนเสนอนิรโทษกรรม ให้ ในครั้งนั้น จางเป๋าจ่าย ปฎิเสธข้อเสนอ แต่การรบครั้งนี้ พันธมิตรอย่างโจรสลัดธงดำ ของ กัวผ๋อไต๋  กลับรับข้อเสนอนี้

เข้าสู่วันที่ 3-4 มกราคม จางเป๋าจ่าย ระดมพลครั้งสุดท้าย เรือทั้งหมด 300 ลำ ปืนใหญ่ 1500 กระบอก คนอีก 20000 คน พยายามบุกเพื่อเอาชนะกองทัพโปตุเกส ที่ทอดสมออยู่ที่เกาะลันเตาให้ได้ รอบนี้ เรือใหญ่ของโปรตุเกส เสี่ยงที่จะอยู่ในทะเลตื้น และใช้เรือเล็กคอยป่วน โดยอาศัยปืนใหญ่ของฝ่ายโปตุเกสที่แม่นยำกว่า ยิงทำลายเรือไปได้เรื่อยๆ กองโจรสลัดต้องหนีกระจัดกระจายเข้าไปในแม่น้ำแทน แต่เรือโปตุเกสก็ไม่สามารถตามเข้าไปได้ เพราะเรือลำที่ใหญ่

แต่กองทัพโปรตุเกส ก็ปิดกิ้นทางเข้าออกทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ กองโจรสลัดจนตรอก และติดอยู่ในแม่น้ำ

ในการปิดล้อมนานกว่า 9 วัน จางเป๋าจาย ก็ส่งข้อความไปยังโปรตุเกส เพื่อขอยอมแพ้ แต่กัปตันเลอกที่จะลงเรือเล็กไปเจรจาส่วนตัวท่ามกลางโจรสลัดแทน ซึ่งจางเป๋าจ่ายนั้นประทับใจในความกล้าหาญมาก จึงตกลงยอมรับข้อเสนอของโปรตุเกส และ รัฐบาลจีน โดยทำข้อตกลงยอมแพ้อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ยอมจำนนต่อรัฐบาลจีน 

วันที่ 20 เมษายน 1810 เขาก็ส่งมอบของเรือถึง 270 ลำ ปืนใหญ่ 1200 กระบอก ดาบ หอก อื่นๆ อีก 7000 ชิ้น มีลูกสมุนกว่า 1ุ6000 คน


หลังจากนั้น เขาก็ไล่จับโจรสลัด อูสือเอ้ออร์ โจรสลัดธงน้ำเงิน แต่เขามักถูกเยอะเย้ยจากทหารเรือคนอื่นๆ เสมอ แม้ว่าเขาจะทำงานอย่างหนัก จนเขาได้รับตำแหน่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อมา รัฐบาลชิงมีนโยบายไม่สนับสนุนคนกลับใจ ทำให้ตำแหน่งของเขา ถูกแขวนอยู่แค่นั้น 
ต่อมาเขาก็ป่วยและเสียชีวิตลง ขณะอายุเพียง 30 ปี  ต่อมา เหล่าโจรสลัดทั้งหมดก็กลับไปตั้งรกรากที่อำเภอหนาไห่ แต่กลับถูกราชสำนักเรียกคคืนยศทั้งหมด กลายเป็นคนธรรมดา
         
บุคลิกของจาง เป๋าจ่าย ได้ถูกนำไปอ้างอิงและสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ อาทิ The Treasure Hunters ในปี ค.ศ. 1982, Once Upon a Time in China V ในปี ค.ศ. 1994นำแสดงโดย จ้าว เหวินจั๋ว และดัดแปลงเป็นตัวละครชื่อ กัปตันเชา เฟิง ในภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดเรื่อง Pirates of the Caribbean 3 ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งแสดงโดย โจว เหวินฟะเป็นต้น[2]
..