วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

จีน (1786-1822) จาง เป๋าจ่าย โจรสลัดกลับใจ

จางเป่าจ่าย (张保仔) มีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1786-1822 ต้นฉบับเซาเฟง (โจวเหวินฟะ) เดิมมีชื่อว่า จางเป่า (张保) เป็นคนอำเภอซินหุ้ย (新会) เมือง เจียงเหมิน (江门) ในมณฑลกวางตุ้ง เขาคือ โจรสลัดชื่อดังย่านกวางตุ้ง เกาะเกาลูน มาเก๊า และฮ่องกง ในยุคราชวงศ ชิง

ช่วงทศวรรษที่ 1770-1790 ช่วงนั้น ต่างชาติเริ่มเข้ามามีบทบาทในจีนอย่างหนัก จักรพรรดิเจี่ยชิงต้องเผชิญหน้ากับ กบฎพรรคบัวขาว การแยกตัวของเวียดนาม กับเหล่าโจรสลัดทะเลจีนใต้ เนื่องจาก เริ่มแรก ชาวประมงมีการลักลอบค้าขายกับต่างชาติ (ช่วงนั้นรัฐบาลจีนผูกขาดการค้าต่างชาติไว้กับตนเท่านั้น) ชาวประมงจึงกลายร่างเป็นทั้ง พ่อค้า และ โจรสลัด โดยเฉพาะย่าน มณฑลกวางตุ้ง ไปจนถึงเวียตนาม โดยเฉพาะแถบหมู่เกาะฮ่องกง เกาลูน และเกาะลันเตา โจรสลัดระบาดมากปล้นไม่เว้นแม้แต่ กองทัพเรือต่างชาติ อย่างกองทัพเรือของโปรตุเกส ก็ถูกปล้นด้วย  โดยช่วงเวลานี้เอง ที่บริษัทจากอังกฤษ เริ่มเอาฝื่นเข้ามาขายในประเทศจีน และรัฐบาลจีนก็ไล่กำจัดฝื่น (ช่วงก่อนเกิดสงครามฝิ่น)


โจรสลัดเกิดขึ้นมีหลายก๊ก แต่ในปี 1805 เหล่าโจรสลัดขนาดใหญ่ 7 กลุ่มก็ลงนามเป็นพันธมิตรกัน นำโดย เจิงอี้ โจรสลัดธงแดง กัวผ่อไต๋ โจรสลัดธงดำ 



จางเป่าจ่าย เป็น บุตรชายของชาวประมง เกิดในปี 1786 ในรัชสมัย เฉียนหลงฮ่องเต้ แถบชายฝั่งทะเล ซานฮุย ในมณฑลกวางตุ้ง วัยเด็กเขาก็ออกหาปลากับพ่อของเขา แต่เขากลับถูกลักพาตัวไปโดย เจิ้งอี้ หัวหน้าโจรสลัดกองเรือธงแดง เจิ้งอี้ นั้นชื่นชอบตัวเขามาก และมักเรียกเขาเป็น บอดี้การ์ดประจำตัว  เมื่อตอนอายุ 15 ปี เขาก็กลายเป็นบุตรบุญธรรมของเจิ้งอี้

ต่อมาปี 1807 เจิ้งอี้ เสียชีวิตแบบกะทันหันในพายุทะเล ในแถบเวียตนาม ภรรยาของเจิ้งอี้ ที่ชื่อ ชิงเชอะ (แปลว่า แม่หมายแห่งราชวงศ์ชิง) หรือ เจิ้ง อี้เส้า (ชื่อเดิม เชอะหยาง) และ เจิ้งอันผง หลานชาย กลายเป็นผู้นำกองทัพโจรสลัดแทน   ความน่ากลัวของ ชิงเชอะ  คือ เธอเป็นหญิงที่แข็งแกร่งมาก ได้รับการฝึกวิชาการต่อสูั และสามารถยกปืนพร้อมกันทั้งซ้ายและขวาพร้อมกับยิงปืนได้พร้อมกันอีกด้วย แถมเธอยังออกคำสั่งเด็ดขาดห้ามข่มขืนเชลยหญิง จนได้รับการนับถือในหมู่โจรสลัด

ขณะที่ จางเป๋าจ่าย กลายมาเป็นมือขวาของ ชิงเชอะ ภายใต้กองเรือของ ชิงเชอะ ช่วงรุ่งเรืองนั้นมีคนมากถึง 40000 คนและเรือรบอีก 1000 ลำ ถือเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ใหญ่ที่สุดในทะเลจีนใต้ ยุคนั้น นอกจากนี้ยังมี โจรสลัดธงดำ และธงน้ำเงินที่คอยป่วนย่านนั้นอีกด้วย

และในที่สุด จาง เป๋าจ่าย ก็แต่งงานกับ ชิงเชอะ แม่บุญธรรมของตัวเอง และหากถือว่า เจิ้งอี้นั้นคืออาจารย์ของเขา ชิงเชอะก็คือ อาจารย์แม่ของเขานั่นเอง ซึ่งสังคมแบบศักดินาโบราณนั้น ถือว่า เป็นเรื่องต้องห้าม (เหมือนเอี้ยก๊วยกับเซียวเล่งนึ่งในมังกรหยกภาค 2)

บันทึก นักธุรกิจที่เคยถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ นั้น ระบุว่า ชิงเชอะ เป็นคนออกคำสั่ง และรุนแรง โดยเฉพาะ ก
ฎเหล็ก คือ
ใครหลบหนี ต้องถูกประหาร
 ใครขโมยสมบัติ หรือขโมยของชาวบ้านจะต้องถูกประหาร
ใครข่มขื่น เชลยหญิง ต้องถูกประหาร

นอกจากนี้สมบัติที่ปล้นมาได้ของเขา จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งคือสวรรค์ ส่วนที่สองคือ ดิน และส่วนที่ 3 คือ คน มีคนตีความว่า่ สวรรค์คือ เขานำไปหล่อพระพุทธรูป สร้างวัด ขณะที่ คน คือ นำมากินมาใช้ ส่วนที่เป็น ดิน นี่เองที่หลายคนตีความว่า สมบัติของ จางเป๋าจ่าย นั้น ถูกฝังในถ้ำที่ฮ่องกง

จากกฎเหล็กที่เข้มแข็ง ทำให้เขามักได้รับการชื่นชมจากลูกเรือ โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤต เขามักได้รับการช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอ โดยเฉพาะจากนักพรตเต๋า ที่มักทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ ้อ้อนวอนต่อเทพเจ้า ทำให้ทุกคนต่างเชื่อ และปฎิบัติตามความคิดของเขาเสมอ

เขาเป็นคนเฉลียวฉลาดมาก มีทั้งการวางแผนแบบแยบยล และการลงมือที่ประสบผลสัมฤทธิ์เสมอเสมอ ทำให้หัวหน้าโจรสลัดก๊กเล็ก ก๊กใหญ่ ต่างชื่นชมในตัวเขา นอกจากนี้ ขณะสะสมเสบียงที่ต้องซื้อของจากชาวบ้าน เขาก็ซืั้อสินค้าราคาสูง 2 เท่าเสมอ ทำให้ชาวบ้านต่างก็ชื่นชมเขา นอกจากนี้ยังสั่งการว่า ห้ามปล้นคนในพื้นที่เด็ดขาด

เขาชอบดักปล้นแถวเกาลูน ฮ่องกง โดยเฉพาะที่ วิกตอเรียพีค จุดที่สูงที่สุดในฮ่องกง นั้น เขาจะใช้เป็นจุดส่งสัญญาณธงของเขา เพื่อให้เรือเล็กๆ ของเขาบุกพร้อมกันทุกด้าน

เขามักดักปล้นเรือจากราชสำนักและเรือเดินสมุทร ทางการส่งทหารมาปราบหลายครั้ง จนมาถึง จางปา่ยหลิ ผู้ปกครองสองมณฑล คือ กวางตง และกวางสี เข้าปราบปราม ที่เกาะลันเตา รัฐบาลวางแผนโดนการตัดเสบียง และปิดกั้นการช่วยเหลือ ห้ามเรือทั้งหมดออกทะเลทั้งหมด  โดยทางการใช้เรือนับพัน ปืนอีกนับร้อยกระบอก ไปล้อม กลุ่มของ จางเป๋าจ่าย ที่ตอนนั้นเหลือเรือแค่ 300 ลำ  ตามบันทึกของโปรตุเกส ระบุว่า ศึกนั้นดุเดือดมาก กลุ่มโจรสลัดพยายามใช้กลยุทธ์บุกขึ้นเรือ แต่โดนปืนกระหน่ำยิงตลอด ต่อมาโจรสลัดจึงแบ่งเป็น 6 กลุ่ม และค่อยๆหลบหนีหายไปกับสายหมอก

อย่างไรก็ดี มีบันทึกบางอันระบุว่า แม้เขาจะถูกปิดล้อม แต่เขาก็ปลอมตัวเป็นทหาร เพื่อไปซื้อเสบียงอาหาร แทน

ศึกถัดมา เขาพยายามเข้าปล้น ทะเลเขต หุ้ยเสี้ยน โดยเฉพาะหมู่บ้าน เฉาเสียน นายอำเภอไปตั้งรับที่เจียงเหมิน นำปืนใหญ่ไปตั้งเรียงราย รอต้อนรับ จางเป่าจ่าย เมื่อรุกเข้าไปเห็นท่าไม่ดีก็ล่าถอย โดยบอกกับลูกน้องว่า เราไม่กลัวชาวเฉาเหลียน แต่กลัวเทพเจ้าเฉาเหลียน  จากนั้นก็หันหน้ากลับ หลบหนีการเสี่ยงต่อหายนะ กับทางการ

เมื่อเกิดสงครามโปเลียนขึ้นในยุโรปอังกฤษได้จัดตั้งกองทหารขึ้นที่มาเก๊าในเดือนกันยายน 1808 เพื่อป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของชาวฝรั่งเศสอย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวใด ๆ กับโจรสลัด เมื่อ Pereira Barreto ออกจากมาเก๊าการละเมิดลิขสิทธิ์ของจีนขู่ว่าจะตัดการขนส่งทางทะเลของมาเก๊า ในช่วงต้นเดือนกันยายน 1809 โจรสลัดจับเรือค้าโปรตุเกสที่มาจากประเทศติมอร์ฆ่าลูกเรือทั้งหมด ดังนั้นวุฒิสภาภักดีของมาเก๊า ( Leal Senado ) ติดอาวุธสามลำได้รับคำสั่งจากกัปตันปืนใหญ่José Pinto Alcoforado de Azevedo e Sousa พร้อมคำสั่งเด็ดขาดเพื่อทำการลงโทษโจรสลัด [3] เรือรบของอังกฤษที่ถูกยึดครองโดยมาเก๊าตกลงที่จะช่วยเหลือโจรสลัดตามการชักชวนของผู้ว่าการ

ยุทธนาวีที่ปากเสือ
ศึกก่อนสุดท้ายในฐานะโจรสลัดของ จางเป๋าจ่าย ชื่อ ยุทธการที่ปากเสือ เริ่มต้นในปี 1809 มีโจรสลัดไปปลุกปล้นเรือการค้าของโปรตุเกส และฆ่าลูกเรือทั้งหมด ทำให้วุฒิสภาของมาเก๊ามีคำสั่งเด็ดขาดให้จับโจรสลัดมาลงโทษ  ขณะที่เรือรบจากอังกฤษก็ตกลงที่จะช่วยเหลือด้วยในการจับโจรสลัดด้วย

เริ่มต้นวันที่ 15 มิถุนายน 1809 กองทัพเรือโปรตุเกส จำนวนประมาณ 40 กว่าลำ ออกจากท่าเพื่อออกหา เรือโจรสลัด ส่วนเรือของอังกฤษยังคงอยู่ที่ท่าเรือ ต่อมา วันที่ 16 มิถุนายน 1809 กลุ่มโจรสลัดกลับบุกเข้าโจมตีกองทัพโปรตุเกส ครั้งนั้น ลูกเรือโปรตุเกสก่อกบฎ รีบหันเรือหนีกลับเข้าฝั่ง

เข้าสู่กันยายน 1809 กองทัพโปตุเกส ออกล่าโจรสลัดอีกครั้ง แต่กลับพบว่า เรือโจรสลัดจำนวน 200 ลำ ไล่ยิงกองทัพโปตุเกสแทน ครั้งนี้ กัปตันต้อหนีกลับมาขึ้นฝั่งที่มาเก๊าอีกครั้ง

พฤศจิกายน 1809 ฑูตจีนเสนอตัวเข้ารวมล่าโจรสลัดด้วย  ครั้งนี้ถือเป็นกองทัพเรือขนาดใหญ่ 100 กว่าลำ  เพราะมีทั้งกองทัพเรือจากรัฐบาลชิง และ กองทัพโปตุเกส มาถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2 กองทัพกับกลุ่มโจรสลัดก็เข้าตะลุมกันเกือบ 9 ชั่วโมง เรื่อโจรสลัดก็จมลง 15 ลำ และเสียหายอีกหลายลำ แต่กลับมีโจรสลัดกลุ่มอื่นเข้ามาช่วย ทำให้กองทัพโปตุเกส และชิง ต้องล่าถอย 

ยุทธนาวี Chek Lap Kok 

11 ธํนวาคม จางเป๋าจ่าย ก็สั่งให้โจรสลัดทั้งหมด เคลื่อนพลไปใกล้ๆ มาเก๊าะ เพื่อหาทางล่ากองทัพโปตุเกสคืนบ้าง  กองทัพโปตุเกส ต้องสูญเสียอีก  15 ลำ ก่อนจะล่าถอยอีกครั้ง จางเป๋าจ่าย เสนอข้อตลงสงบศึก แต่ทางโปตุเกสปฎิเสธข้อเสนอนี้ แต่ทางรัฐบาลจีนเสนอนิรโทษกรรม ให้ ในครั้งนั้น จางเป๋าจ่าย ปฎิเสธข้อเสนอ แต่การรบครั้งนี้ พันธมิตรอย่างโจรสลัดธงดำ ของ กัวผ๋อไต๋  กลับรับข้อเสนอนี้

เข้าสู่วันที่ 3-4 มกราคม จางเป๋าจ่าย ระดมพลครั้งสุดท้าย เรือทั้งหมด 300 ลำ ปืนใหญ่ 1500 กระบอก คนอีก 20000 คน พยายามบุกเพื่อเอาชนะกองทัพโปตุเกส ที่ทอดสมออยู่ที่เกาะลันเตาให้ได้ รอบนี้ เรือใหญ่ของโปรตุเกส เสี่ยงที่จะอยู่ในทะเลตื้น และใช้เรือเล็กคอยป่วน โดยอาศัยปืนใหญ่ของฝ่ายโปตุเกสที่แม่นยำกว่า ยิงทำลายเรือไปได้เรื่อยๆ กองโจรสลัดต้องหนีกระจัดกระจายเข้าไปในแม่น้ำแทน แต่เรือโปตุเกสก็ไม่สามารถตามเข้าไปได้ เพราะเรือลำที่ใหญ่

แต่กองทัพโปรตุเกส ก็ปิดกิ้นทางเข้าออกทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ กองโจรสลัดจนตรอก และติดอยู่ในแม่น้ำ

ในการปิดล้อมนานกว่า 9 วัน จางเป๋าจาย ก็ส่งข้อความไปยังโปรตุเกส เพื่อขอยอมแพ้ แต่กัปตันเลอกที่จะลงเรือเล็กไปเจรจาส่วนตัวท่ามกลางโจรสลัดแทน ซึ่งจางเป๋าจ่ายนั้นประทับใจในความกล้าหาญมาก จึงตกลงยอมรับข้อเสนอของโปรตุเกส และ รัฐบาลจีน โดยทำข้อตกลงยอมแพ้อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ยอมจำนนต่อรัฐบาลจีน 

วันที่ 20 เมษายน 1810 เขาก็ส่งมอบของเรือถึง 270 ลำ ปืนใหญ่ 1200 กระบอก ดาบ หอก อื่นๆ อีก 7000 ชิ้น มีลูกสมุนกว่า 1ุ6000 คน


หลังจากนั้น เขาก็ไล่จับโจรสลัด อูสือเอ้ออร์ โจรสลัดธงน้ำเงิน แต่เขามักถูกเยอะเย้ยจากทหารเรือคนอื่นๆ เสมอ แม้ว่าเขาจะทำงานอย่างหนัก จนเขาได้รับตำแหน่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ต่อมา รัฐบาลชิงมีนโยบายไม่สนับสนุนคนกลับใจ ทำให้ตำแหน่งของเขา ถูกแขวนอยู่แค่นั้น 
ต่อมาเขาก็ป่วยและเสียชีวิตลง ขณะอายุเพียง 30 ปี  ต่อมา เหล่าโจรสลัดทั้งหมดก็กลับไปตั้งรกรากที่อำเภอหนาไห่ แต่กลับถูกราชสำนักเรียกคคืนยศทั้งหมด กลายเป็นคนธรรมดา
         
บุคลิกของจาง เป๋าจ่าย ได้ถูกนำไปอ้างอิงและสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ อาทิ The Treasure Hunters ในปี ค.ศ. 1982, Once Upon a Time in China V ในปี ค.ศ. 1994นำแสดงโดย จ้าว เหวินจั๋ว และดัดแปลงเป็นตัวละครชื่อ กัปตันเชา เฟิง ในภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ดเรื่อง Pirates of the Caribbean 3 ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งแสดงโดย โจว เหวินฟะเป็นต้น[2]
..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น