วันเสาร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จีน(ฺBC280-BC228) จ้าวจี ผู้กุมความลับ ใครคือ บิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้??

จ้าวจี ( (赵姬) หรือ (昏德公)  (BC280–BC228 ปีก่อนคริสตกาล)

จ้าวจี หรือ ฮองเฮาของ พระเจ้าจฺวังเซียงแห่งแคว้นฉิน และแม่ของของ จิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิองค์แรกของประเทศจีน เมื่อนางได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส นางก็กลายเป็น ฮองเฮาจ้าว แต่เมื่อฮ่องเต้สวรรคต นางกลายเป็น ไทเฮาจ้าว

--------------

จิ๋นซี ฮ่องเต้ เป็นผู้รวบรวมแผ่นดินจีนให้เป็นปึกแผ่นและขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของประเทศจีน สถาปนาเป็นราชวงศ์ฉิน (จิ๋น) แต่มีกำเนิดที่น่าพิศวรยิ่งนัก เพราะจิ๋นซีอาจเป็นลูกของ จ้าวหนานอ๋อง ผู้เป็นพระราชบิดาอย่างเป็นทางการ หรือ หลี่ปุ้เหว่ย พ่อค้าที่มั่งคั่ง ก็เป็นได้ มีเพียง จ้าวจี แม่ของนางเท่านั้นที่รู้ว่า ใครคือ พ่อของจิ๋นซีฮ่องเต้

แม้ประวัติศาสตร์จะถูกชำระไปแล้วในยุคของราชวงศ์ฉิน แต่โชคดี บันทึกของราชวงศ์ฮั่นกลับไม่ถูกแก้ไข

ที่มา
ย้อนกลับไปปลาย สมัยราชวงศ์โจวตะวันออก  หรือยุค เลียดก๊ก ที่แบ่งเป็น 2 ช่วง คือยุคที่มีหลายรัฐ เรียก ยุคชุนชิว ส่วนช่วงหลังนั้น เรียกว่า  ยุคจั๊นกว่อ  เป็นการต่อสู้ระหว่าง แคว้น 7 แคว้น คือ ฉิน ฉู่ จ้าว เหว่ย เยี่ยน ฉี หาน โดยมีแคว้นฉิน แข็งแกร่งที่สุด ที่มี จ้าวหนานอ๋อง ปกครอง แต่ตอนนั้นอายุ 52 ปีแล้วจึงให้แต่งตั้งให้ อันกั๋วจิ๋น เป็นองค์รัชทายาท (ไทจื้อ)  โดย อั่นกั๋วจิ๋น นั้น มีเมียหลายคน คนโปรดคือ สนมหวาหยาง แต่กลับไม่มีลูก ส่วนนางสนมที่ไม่โปรดกลับมีลูกชายชื่อ อี้เหริน หรือจื่อฉู่ นอกจากนี้ยังมีลูกชายอีก 20 คน  ยุคนั้น มีประเพณี การแลกเปลี่ยนตัวประกันระหว่างแคว้นกัน

แคว้นฉิน จึงส่ง อี้เหริน (จื่อฉู่) ที่เป็นหลานของกษัตริย์ไปเป็นตัวประกันกับแคว้นจ้าว อี้เหริน(จื่อฉู่)  ไปในฐานะตัวประกันที่แคว้นจ้าวก็ไม่โปรด เพราะแคว้นจ้าวนั้น มักจะรบกับแคว้นฉินเป็นประจำและมักจะแพ้เป็นประจำ ขณะที่แคว้นฉิน ก็ไม่โปรดเขา แต่เขาโชคดีที่ได้พบกับ พ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง ชื่อ หลี่ปู้เหว่ย  ทำให้ฐานะในด้านการเมืองของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

หลี่ปู้เหว่ย คือ พ่อค้าที่ติดต่อค้าขายระหว่าง แคว้นหาน กับแคว้นจ้าว แต่เขามีนิสัยพ่อค้าจึงต้องการทราบความเป็นอยู่ของแคว้นฉิน จึงได้ขอเข้าพบ อี้เหริน(จื่อฉู่) เขาตีสนิทกับอี้เหริน และเสนอทรัพย์สินและให้ อี้เหริน ไปเข้าหา พระสนมหวาหยาง ให้นางช่วยเป็นปากเป็นเสียงแทนให้ จ้าวหนานอ๋อง แต่งตั้ง อี้เหริน เป็นรัชทายาท

แต่สิ่งแรกที่หลี่ปู้เหว่ยให้ อี้เหริน ไปทำคือ เอาเงินทองของ หลี่ปู้เหว่ย มาซื้อใจคนในแคว้นจ้าว  รวมถึงคนที่เดินทางมาจากแคว้นฉิน ต้องต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงตอนนี้ ชื่อเสียงเรื่องความใจกว้างของ อี้เหริน ก็เริ่มกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อสบโอกาสเหมาะแล้ว หลี่ปุ้เหว่ย ก็หอบทรัพย์สินเดินทางไปเมืองเสียนหยาง เมืองหลวงของรัฐฉิน  เมื่อเขาเดินทางมาถึง ก็เริ่มต้นสืบว่า สนมหวาหยาง กับ ไท่จื้อ( อันกั๋วจิ๋น) นั้นชอบสิ่งใดเป็นพิเศษ เมื่อเขาได้ข่าวว่า สนมหวาหยางนั้นมีพี่สาวที่สนิทกันมาก เขาจึงเริ่มต้นจากการเข้าหา พี่สาวของสนมหวาหยางก่อน เมื่อสนิทแล้ว เขาจึงนำทรัพย์สินไปฝากให้ สนมหวาหยาง โดยแนะนำว่า อี้เหริน (จื่อฉู่) ฝากมาเพราะคิดถึงพวกท่านอีกด้วย แถมยังชื่นชม อี้เหริน ต่อหน้าทั้งสองอีกด้วย

หวาหยางฮูหยินนั้น ชื่นชอบของฝากมาก และชื่นชมความกตัญญูของอี้เหรินมาก  ระหว่างนั้น หลี่ปู้เหว่ยก็ถือโอกาส นำของมาขายระหว่างแคว้นฉิน กับแคว้น จ้าว โดยไม่ลืมของฝากอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อสนิทชิดเชื้อกันแล้ว หลี่ปู้เหว่ย จึงแนะนำว่า ตอนนี้ สนมหวาหยางนั้นไม่มีบุตรชาย ท่านไทจื้อ อันกั๋วจิ๋น อาจหันเหไปสนสาวอื่นได้ ทำให้สนมหวาหยางในวัยแก่เฒ่านั้นอาจตกระกำลำบากได้ ท่านควรเตรียมการเลือกบุตรคนใดคนหนึ่งป็นบุตรบุญธรรม เพื่อให้ ไทจื้ออันกั๋วจิ๋น แต่งตั้งเป็นไทจื้อ(รัชทายาท) คนถัดไป ท่านอี้เหริน  มีชื่อเสียงในด้านดีขจรขจายไปทั่ว มีความกตัญญู จึงควรชุบเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เชื่อว่า อี้เหริน จะต้องตอบแทนบุญคุณท่านและดูแลรักษาท่านเป็นอย่างดีในภายภาคหน้าแน่นอน

ครั้งนั้นเอง เมื่อสนมหวาหยาง ได้พบกับอี้เหริน ซึ่ง หลี่ปู้เหว่ย ได้จัดแจง ให้แต่งกายแบบรัฐฉู่ บ้านเกิดของสนมหวาหยาง ทำให้นางปลาบปลื้มมาก และเปลี่ยนชื่อ อี้เหริน เป็น จื่อฉู่ (แปลว่า ลูกของรัฐฉู่)

จนในที่สุด จื่อฉู่ ก็ได้แต่งตั้งเป็นรัชทายาท และยังแต่งตั้ง หลี่ปู้เหว่ย เป็นอาจารย์ของจื่อฉุ่ อีกด้วย แผนแรกของหลี่ปุ้เหว่ยนั้นจบลงแล้ว  ถึงตอนนี้เขาเป็นพ่อค้าที่ยิ่งมั่งคั่งกว่าเดิม เพราะสามารถเข้านอกอกอในในวังได้หลายแคว้น

อนุภรรยา
ปกติ หลี่ปู้เหว่ย ก็เกณฑ์หญิงสาวจำนวนมากมาฝึกร้องเพลงและฟ้อนรำไว้คอยปรนนิบัติตนเองอยู่แล้ว ส่วน จื่อฉู่ นั้นก็เข้านอกออกในบ้านของหลี่ปู้เหว่ย เป็นประจำ โดยครั้งนั้น มีหญิงสาวนางหนึ่งเป็นอนุภรรยาของหลี่ปู้เหว่ย ชื่อ จ้าวจี (赵姬) (ความจริงในบันทึกไม่ได้ระบุชื่อ เพราะจ้าวจี แปลว่า สาวงามแห่งแคว้นจ้าว)  แต่ จื่อฉู่ กลับติดใจนาง จึงเอยปากขอนางจากหลี่ปู้เหว่ย

หลี่ปุ้เหว่ยนั้นตอนแรกก็ไม่ยินยอม แต่เมื่อคิดถึงตำแหน่งของ จื่อฉู่ ในอนาคต จึงยินยอมให้ไป ต่อมา เมื่อนางคลอดลูกออกมา ก็ตั้งชื่อว่า หยิ่งเจิ้ง (หรือ อิ๋งเจิ้ง) อิ๋งแปลว่าชัยชนะ เจิ้งแปลว่า ปกครอง)

ในปี ค.ศ.BC225 เกิดสงครามระหว่าง แคว้นฉิน กับแคว้นจ้าวอีกครั้ง แคว้นฉินรุกรานจนเกือบชนะ แคว้นจ้าว จึงคิดฆ่า จื่อฉู่  แต่ หลี่ปู้เหว่ย รู้ข่าวก่อน รีบติดสินบนนายประตู พา จื่อฉู หนีออกมาสำเร็จ แต่ลุกเมียติดอยู่ในนั้น ต้องปลอมตัวอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ

ถัดมา 5 ปีให้หลัง จาวหนานอ๋อง สิ้นชีวิต อันกํ๋วจิ๋น ก็ขึ้นครองราชย์แทน เปลี่ยนชื่อเป็น เจี้ยวเหวินอ๋อง ทำให้ จื่อฉู่ ได้ขึ้นเป็นรัชทายาทแทน จื่อฉู่ จึงได้ส่งคนไปเชิญตัวภรรยาและลุกชายกลับแคว้นฉิ๋น

เจี้ยวเหวินอ๋อง ครองราชย์ไม่ถึงปีกลับเสียชีวิต ทำให้ จื่อฉู่ ได้ขึ้นครองราชย์แทน เปลี่ยนชื่อเป็น จวงหนานอ๋อง  และแต่งตั้ง หลี่ปู้เหว่ยเป็น อัครมหาเสนาบดี (เซี่ยงกั๋ว)

แต่จวงหนานอ๋อง ก็ครองราชย์ได้แค่ 3 ปี ก็กลับเสียชีวิตไปอีกคน  ทำให้ไทจื้อ(รัชทายาท) หยิ่งเจิ้งที่มีอายุเพียง 13 ปี ขึ้นครองราชย์แทน เปลี่ยนชื่อเป็น จิ๋นซีฮ่องเต้ โดยอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือ หลี่ปู้เหว่ย บิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้ ส่วนแม่ของเขาขึ้นเป็น ไทเฮาจ้าว ที่ยังสาวและเป็นม่าย ถึงตรงนี้ต้องอย่าลืมว่า เธอคือ อดีตอนุภรรยาของหลี่ปู้เหว่ย ทำให้ฐานะของหลี่ปู้เหว่ย ตอนนี้ไม่ต่างกับฮ่องเต้

เป็นชู้
แต่ด้วยการที่จิ๋นซีฮ่องเต้ มีอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ หลี่ปู้เหว่ย กลัวว่า อำนาจของเขาจะหมดลง ทำให้เขาต้องการตัดความสัมพันธ์กับไทเฮาจ้าว หลี่ปู้เหว่ยจึงหาบุรุษคนหนึ่งมาให้ไทเฮา คือ เล่าอ้าย(嫪毐) โดยแกล้งทำทีเป็นลงโทษเล่าอ้าย โทษฐาน ทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล จึงต้องตัดทิ้ง ก่อนส่งตัวเข้าวัง ในฐานะขันที เพื่อเอาไว้รับใช้ไทเฮาโดยเฉพาะ

ถัดมาไทเฮาจ้าว กลับท้อง ทำให้เธอต้องย้ายออกจากวัง โดยอ้างไปบำเพ็ญศีลภาวนา แล้วย้ายไปพำนักยังเมืองยงเฉิง (雍城) โดยมี เล่าอ้าย ตามไปรับใช้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางกลับมีลูกถึง 2 คน ถึงตอนนี้ เล่าอ้ายได้รับการแต่งตั้ง“ฉางซิ่นโหว” (长信侯 Marquis of Changxin) เป็นรองเพียงฮ่องเต้คนเดียว นับเป็นขันที (ปลอม) คนเดียวที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

กินเหล้าแล้วปากใหญ่ขณะที่จิ๋นซี ในวัย 22 ปี นั้น ก็ได้เลือกเดินทางไป เมืองยงเฉิง (เมืองเดียวกับที่ไทเฮาจ้าวไปประทับอยู่) เพื่อประกอบพิธี ราชาภิเษก และในคืนนั้นเอง เล่าอ้าย ก็กินเหล้าเมามาย แล้วพูดจาโอ้อวด เรื่องความสัมพันธ์กับไทเฮาจ้าวให้คนอื่นรับรู้ และอวดอ้างว่า เขานี่แหละ คือ พ่อเลี้ยงของฮ่องเต้ เรื่องนี้รู้ถึงหู จิ๋นซีฮ่องเต้ และทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้ รับรู้ว่า นอกจากเล่าอ้ายไม่ใช่ขันทีแล้ว ยังเป็นชู้กับไทเฮาจ้าว แถมมีลูกถึง 2 คน และยังจะให้ลูกขึ้นเป็นไทจื้อ (รัชทายาท)อีก  จึงสั่งลงโทษ แต่จิ๋นซีตอนนั้นไม่ได้ประทับที่วังหลวง

แต่เล่าอ้ายรู้ข่าวก่อน รีบบุกเข้าวัง ชิงตราประทับของฮ่องเต้ แล้วก่อกบฎที่เสียนหยาง ยึดวังฉีเหนี่ยนกง ได้ แล้วออกคำสั่งทหารให้บุกโจมตีวังที่จิ๋นซีประทับอยู่ แต่ จิ๋นซีฮ่องเต้ ทราบเรื่องจึงรีบสั่งทหารจับ เล่าอ้าย  เมื่อจับได้ ก็สั่งประหาร 3 ชั่วโคตร โดย เล่าอ้ายโดนประหารด้วยทัณฑ์ห้าม้าแยกร่าง (车裂) พวกพ้อง ครั้งนั้นมีคนโดนโทษประหารตายถึง 4 พันคน

นอกจากนี้ยังสั่งประหาร ลูก 2 คนที่เกิดกับไทเฮาด้วยการใส่กระสอบแล้วทุบตีจนตาย  นอกจากนี้ยังประกาศตัดขาดแม่ลูก กับไทเฮาจ้าว  และไม่ให้เข้าเฝ้าเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนทูลขอ จะต้องโดนโทษประหาร แต่ครั้งนั้นยังมีคนกล้าทูลขอ ทำให้มีคนโดนประหารไปอีก 27 คน

ต่อมา เหมาเจียว ฝ่าฝืนคำสั่ง เข้าเฝ้าทูลขอ โดยให้เหตุผลว่า ท่านโหดเหี้ยมเกินคน สั่งประหาร พี่น้องต่างบิดา ขับไล่มารดา และยั่งสั่งฆ่าคนที่คอยเตือนสติท่าน เรื่องนี้หากชาวเมืองรู้เข้าอาจก่อจราจลถึงบ้านเมืองล่มสลายได้

จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ฟังก็สำนึก แต่งตั้งเหมาเจียว ให้เป็นขุนนาง และส่งรถม้าไปรับมารดากลับเมืองเสียนหยาง หลังจากนั้น ไทเฮาจ้าวก็อยู่อย่างสงบในวัง และในปี ก่อนคริสตศักราชที่ 228 เธอก็เสียชีวิตในวัย 51 ปี

ส่วนหลี่ปู้เหว่ยนั้น แม้จะถูกสอบสวน และพบว่า มีส่วนรู้เห็นกับแผนการ แต่เนื่องจากเคยมีบุญคุณ ต่อ จวงหนางอ๋อง (บิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้) จึงได้รับอภัยโทษ แต่ถุกปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมด และส่งไปถิ่นทุรกันดาน โดยส่งไปเมืองซี่สู่ ต่อมาไม่นาน หลี่ปู้เหว่ย ก็กินยาพิษฆ่าตัวตาย

ข้อพิพาท
วันเดือนปีของจิ๋นซีนั้นจะเป็นตัวชี้วัดว่า ใครคือ บิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้กันแน่ แต่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชี่ยน นั้นจงใจที่จะปกปิดวันเดือนปีเกิดของจิ๋นซีฮ่องเต้อย่างชัดเจน

2.ข้อพิพาทที่ว่า นางจ้าวจี นั้นมีตัวตนจริงหรือไม่ เพราะจ้าวจี นั้นแปลว่า หญิงสาวจากแคว้นจ้าว อาจเป็นคนละคนกับภรรยาน้อยของ หลี่ปู้เหว่ยก็เป็นได้

3. จ้าวจี นั้นไม่ใช่ ผู้หญิงระดับโสเภณี เนื่องจากหลักฐานบันทึกประวัติของหลี่ปู้เหว่ย ระบุว่า เดิม เธอมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ถูกฆ่าตายทั้งตระกูล เธอหนีมาได้เพราะเธอหลบซ่อนอยู่ ต่อมา หลี่ปู้เหว่ย จึงนำเธอมาชุบเลี้ยง และให้ที่พักอาศัยเป็นอย่างดี

สิ่งเหล่านี้ ยากที่จะหาหลักฐานเพิ่มเติมได้อีกแล้ว มีเพียง นางจ้าวจี เท่านั้นที่รู้ว่า บิดาที่แท้จริงของจิ๋นซีนั้นคือใคร แต่ผมก้เชื่อว่า ระหว่างสอบปากคำ หลี่ปู้เหว่ย นั้น จิ๋นซีฮ่องเต้ ย่อมต้องทราบความจริงแน่นอน แต่ตอนนี้ มันกลายเป็นความลับไปตลอดกาล

ในหนัง เจาะเวลาหาจิ๋นซี จิ๋นซี นั้นในบทละคร เขาให้เป็นคนรัฐจ้าว ชื่อ จ้าวผาน โดยปลอมตัวเป็นอิ้งเจิ้ง แทน และมีแม่คือ หนีฮูหยิน สาวงามแห่งรัฐจ้าว

ส่วนแม่ของ จิ๋นซี (อิ้งเจิ่งตัวจริง ) คือ จูจี เป็นแค่นางสนมของ จางเซียงอ๋อง หรืออึ้งอี้เหยิน  แต่อดีตเป็นนางบำเรอของหลี่ปู้เหว่ย แต่หลี่ปู้เหว่ยยกให้ขณะตั้งท้องกับหลี่ปู้เหว่ย และเป็นชู้กับเหล่าไหว้ สุดท้ายถูกจ้าวผาน (จิ๋นซีฮ่องเต้ตัวปลอม)  สั่งฆ่า  ส่วนหลี่ปู้เหว่ย คือ ศัตรูของตัวเอก คือ เซี่ยงเส้าหลง

สุดท้ายนี้ อย่าลืมกด Like กด Share กด Subscribe  ให้ด้วยนะครับ


--------------------------------

เมิ่งเจียหนี่ ผู้ร้องไห้จนกำแพงพัง
ส่วนเรื่องราวของเมิ่งเจียหนี่ สันนิษฐานว่า ในเวลานั้น นักปราชญ์ต้องการบันทึกเพื่อเป็นการตำหนิกษัตริย์ของตัวเอง  เพราะการสร้างกำแพงเมืองจีนก็เป็นไปเพื่อป้องกันการรุกรานของพวกซุงหนู  (匈奴)   ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว ในการศึกจะมีทั้งพ่ายแพ้ แล้วชนะแล้วพ่ายแพ้สลับกันอยู่อย่างนั้น แต่ก็เรียกได้ว่าถูกรุกรานมาโดยตลอด การสร้างกำแพงเมืองจีนทำได้ไม่ยาก คือ รื้อกำแพงทั้งหมดยกเว้นตอนเหนือและก็สร้างต่อกัน แต่กระนั้นก็ยาวมากที่สุด


การก่อสร้างกำแพงนี้ ทำให้ต้องเกณฑ์ผู้คนเป็นจำนวนมาก เป็นที่เดือดร้อนเหล่าอาณาประชาราษฏร์ จนทำให้ได้รับสมญานามว่า เป็นทรราช บังเอิญที่ 1 ในจำนวนล้านๆ คนที่ถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพง เป็นสามีของเมิ่งเจียหนี แม้ในภาพยนตร์จะผูกเรื่องว่าเมิ่งเจียหนี๋เป็นหญิงงามที่เมื่อจิ๋นซีเห็นก็หลงรัก แต่ในความเป็นจริง เป็นการแสดงสภาพสังคมสมัยนั้นว่า การสร้างกำแพงที่ยิ่งใหญ่นั้น ได้พลัดพรากสามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกัน และคงมีอีกหลายคู่ที่มีการพลัดพรากเช่นนี้ สำหรับเรื่องของเมิ่งเจียหนีถูกพลัดพรากจากกันและสามีก็มาตาย และศพถูกฝังไว้ที่กำแพง

ในเรื่องนี้มีเรื่องเล่าแต่จริงเท็จอย่างไรไม่แน่ชัด แต่ประวัติศาสตร์ก็บันทึกเอาไว้ว่านางร้องไห้จนกำแพงพัง เพราะว่า เมื่อตายลงไปแล้วจะเอากระดูกไปไว้ไหน ก็ทุบป่นรวมไปกับกำแพง เพราะว่าคนตายเป็นจำนวนมากจะไปฝังก็ลำบาก ผู้คุมทั้งหลายก็แสดงความใจดีหรือใจร้ายก็ยังไม่แน่ใจ คือ ฝังไปกับกำแพงเสียเลย การสร้างที่มีส่วนผสมเช่นนี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กำแพงทะลายลงด้วย ลม แดด ฝน พายุ ก่อนหน้านี้ แต่บทสรุป บันทึกไว้ว่าเมิ่งเจียหนีร้องไห้จนกำแพงพัง กลายเป็นเรื่องเล่าลือขับขานจนกลายเป็นประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น