ขอปูพื้นก่อนนะครับ ตามที่เคยเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่อง การปฎิวัติวัฒนธรรมจีน มาหลายคลิปแล้ว แต่มักจะเฉียวไปเฉียวมา ครั้งนี้ขออธิบายอีกครั้งนะครับ เรื่องการปฎิวัติวัฒนธรรมของจีนนั้นเกิดขึ้นหลังความล้มเหลวอย่างหนัก ของ นโยบายการปฎิวัติอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ที่เป็นนโยบายของเหมาเจ๋อตุง 毛泽东 ที่ประกาศใช้ในปี 1958 แต่นโยบายนี้กลับทำให้ ผู้คนอดอยาก ยากจน และเรื่องนี้เองที่ทำให้เหมาเจ๋อตุงนั้นเสียผู้เสียคนอย่างมาก เนื่องจาก เขาโดนโจมตีจากรอบด้านทั้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์เอง และ ประชาชนทั้งแผ่นดินที่เริ่มต่อต้านเขา
ขณะที่หลิวเส้าฉี เติ้งเสี่ยวผิง พยายามเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจครั้งนี้ แต่พวกเขาเลือกแก้ปัญญา แบบเอียงไปทางขวา คือ มีความเป็นทุนนิยมมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ให้ชาวนาสามารถนำผลผลิตส่วนเกินมาขายได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้มากยิ่งขึ้น แทนที่จะทำตามเป้าหมายเท่านั้น
แต่ เหมาเจ๋อตุง นั้นเห็นว่า หลิวเส้าฉี เติ้งเสี่ยวผิง และประชาชนจีน นั้นพยายามเจือจางความเป็นสังคมนิยมลง และเพิ่มความโน้มเอียงเข้าสู่ทุนนิยมมากขึ้น ที่เหมาเรียกว่า "พวกโน้มเอียงที่จะนิยมขวา" เหมาเจ๋อตุงจึงต้องการปลดหลิวเส้าฉี และพวกหัวเอียงขวา ออก
โดยจุดเริ่มต้นของการปฎิวัติวัฒนธรรม นั้นเริ่มจาก บทประพันธ์ที่ชื่อ การปลดไฮรุย ออกจากตำแหน่ง 海瑞罢官 ของ หวู่ฮั่น(吴晗 ที่เป็นรองผู้ว่าปักกิ่งสมัยน้้น และเขายังเป็นนักประวัติศาสตร์อีกด้วย หวู่ฮั่นยกบทประพันธ์ดังกล่าวมาเสียดสี โดยเนื้อหาเป็นเรื่องของ ขุนนางยุคราชวงศ์ซ่ง ที่ออกมาวิพากษ์วิจารย์ฮ่องเต้ จนถูกปลดออก
บทประพันธ์นี้เอง มีคนวิจารณ์ว่า เปรียบเสมือนกับเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เหมาเจ่อตุง เพิ่งปลด เผิงเตอหวย รัฐมนตรีกลาโหมที่เพิ่งออกมาวิพากย์วิจารณ์ความล้มเหลวของนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ ด้วยข้อหา โน้มเอียงไปนิยมขวา และแน่นอนว่า กรณีนี้ ก็ทำให้ตัวหวู่ฮั่นเองนั้น เป็นปัญญาชนรายแรกๆ ที่ถูกเล่นงานจาก การปฎิวัติวัฒนธรรม
กองทัพเห้งเจีย
โดยผมขอข้ามเรื่อง เจียชิงกับแก๊งออฟโฟร์ ไปก่อนนะครับ เพราะ ผมเตรียมคลิปนี้ไว้รออยู่แล้ว จึงขอข้ามมาเล่าเรื่องนี้ก่อนนะครับ จึงขออธิบายเฉพาะ ส่วนของ “กลุ่มเรดการ์ด” (红卫兵Red Guards คือ กลุ่มเยาวชนจากสถาบันการศึกษาตั้งแต่มัธยมไปจนถึงมหาวิทยาลัย คือ กองกำลังสำคัญของเหมาที่เขาเปรียบว่าเป็น “เห้งเจีย” เทพเจ้าวานรที่เคยอาละวาดทั้งเมืองบาดาลและสรวงสวรรค์มาแล้ว และเขาต้องการเห้งเจียจำนวนมากเพื่อทำลายปีศาจร้าย ภายใต้การรณรงค์เพื่อกำจัด “สี่เก่า” อันประกอบด้วย อุดมคติ, จารีต, วัฒนธรรม และ สันดาน ที่ถูกอ้างว่าเป็นของพวกระบอบเก่า ด้วยวิธีการอันรุนแรงต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่บางคนถึงขั้นหมายเอาชีวิต การเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน การทำลายโบราณสถาน และวัตถุทางวัฒนธรรม
เบื้องต้นกลุ่มพิทักษ์แดงเริ่มการโจมตี ทำร้ายเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษา ก่อนขยายตัวไปถึงเจ้าหน้าที่ของพรรค และผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ศัตรูทางชนชั้น” ในวงกว้าง เกิดการสังหารหมู่ในปักกิ่งและหลายเมืองทั่วประเทศ บางครั้งกลุ่มพิทักษ์แดงก็ตีกันเอง หลายครั้งมีการใช้อาวุธหนัก และกองทัพก็เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งด้วย
เอกสารลับของจีนยังเคยบันทึกถึงเรื่องราวสุดโหดของเหล่าเด็กนักเรียน และนักศึกษา กลุ่มพิทักษ์แดงว่า พวกเขาไม่เพียงทรมาณเหยื่อจนเสียชีวิต บางครั้งถึงกับ “กินเนื้อ” ของเหยื่อเหล่านี้ด้วย ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แน่นอนยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ มีการประเมินตั้งแต่ 5 แสนราย ไปจนถึง 8 ล้านราย
แต่สุดท้าย “เห้งเจีย” เหล่านี้ก็สิ้นฤทธิ์ด้วยฝีมือของเหมาเองที่ใช้ประโยชน์ของเด็กๆได้สมปรารถนา กำจัดเหล่าเสี้ยนหนามสำคัญอย่าง หลิว เซ่าฉี และเติ้ง เสี่ยวผิง รวมถึงกลไกของพรรคที่เป็นอุปสรรคได้สำเร็จ และสุดท้าย กองทัพปลดปล่อยประชาชนเองที่เข้ามาสลายกลุ่มปัญญาชนรุ่นเยาว์ที่มีสมาชิกกว่า 20 ล้านคน ด้วยการส่งตัวพวกเขาไปใช้ชีวิตในไร่นาในชนบทจนเสร็จสิ้นทำให้พวกเขาแทบหมดอนาคต
เปี้ยนจงหวิน
ขอเริ่มต้นเหยื่อรายแรก แห่งการปฎิวัติวัฒนธรรม คือ เปี้ยนจงหวิน 卞仲耘 (1916-1966) รองผู้อำนวยการโรงเรียนสตรี แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ปัจจุบันคือ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เป็นเพียงหญิงวัย 50 ปี และเป็นแม่ของลูก 4 คน โดยโรงเรียนแห่งนี้ มีความสำคัญมาก เพราะมีลูกของเหมาเจ๋อตุง ลูกของเติ้งเสี่ยวผิง และลูกของหลิวเส้าฉีศึกษาอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ด้วย
มิถุนายน ในปี 1966 ความบ้าคลั่งยุคปฎิวัติวัฒนธรรมกำลังเริ่มต้น โดยเริ่มต้นจากนักเรียนและนักศึกษา ทำให้รัฐบาลกลางของหลิวเส้าฉี นั้นออกคำสั่งให้ นักเรียนและนักศึกษาเคลื่อนไหวเฉพาะในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนนั้นโรงเรียนแห่งนี้ยังไม่มีครูใหญ่ เปี้ยนจงหวินเป็นเพียงรองครูใหญ่เท่านั้น ดังนั้น เปี้ยนจงหวินจึงเสมือนครูใหญ่ และ เปี้ยนจงหวิน ยังเป็นคณะกรรมการกลางของโรงเรียนอีกด้วย เธอจึงออกคำสั่ง ห้ามเด็กนักเรียนเคลื่อนไหวเด็ดขาด นี่เองทำให้เหล่านักเรียนที่เป็นเรดการ์ดนั้นไม่พอใจเธออย่างมาก
พวกเรดการ์ด มาชี้นิ้วด่าครูคนนี้ หนึ่งในความผิดที่เด็กๆกล่าวหาครูคนนี้ คือ ขณะซ้อมแผ่นดินไหว เปี้ยนจงหวินไม่ยอมปลดภาพประธานเหมาเจ๋อตุง บนผนังห้องไปด้วย แต่กลับทิ้งไว้แบบนั้น
วันที่ 1 สิงหาคม 1966 เรดการ์ดในโรงเรียน เริ่มจับ เพื่อนๆ ที่เป็นมือไม้ของคณะกรรมการกลาง และบรรดาลูกๆ ของผู้ปกครองที่ถูกประนามว่า นิยมเอียงขวา จับตัวมาไต่สวนและประจาน
แต่แล้ว วันที่ 4 สิงหาคม 1966 เรดการ์ดของโรงเรียน บุกเข้าไปห้องพักครู จับครู 7-8 คน รุมกระหน่ำด้วยไม้ และแส้หนัง อย่างหนักหน่วง แม้ว่า วันนั้น เปี้ยนจงหวิน เธอกลับบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอม เธอบอกสามีเธอว่า เธอโดนพวก เด็กนักเรียนเรดการ์ด ทุบตี และสามีเธอบอกให้เธอหนีไปเสีย แต่เธอปฎิเสธและยืนกรานที่จะไปทำงานต่อในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่ 5 สิงหาคม 1966 เธอจับมืออำลงสามี แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงเรียน ในวันนั้นเอง คณะกรรมการโรงเรียน ทั้งหมด ถูกจับไปประจานด้วยการแขวนป้ายกระดาษ พร้อมตัวอักษร "แก๊งต่อต้านการปฎิวัติ วัฒนธรรม" พร้อมกับถูกคุกเข่าที่สนามหน้าโรงเรียน
ถึงตอนนี้ เหล่าเด็กนักเรียนเรดการ์ด บางคนตะโกนประจานพร้อมกับหยิบกรรไกรไปกร้อนผม แต่ปลายกรรไกรก็ทิ่มที่หนังหัวจนเลือดไหล ขณะที่บางคนนำขาเก้าอี้ พร้อมตะปู ไปพาดคณะกรรมการ และบางคนเอาหมึดราดไปที่หัวของคณะกรรมการ
แต่ เปี้ยนจงหวิน ตอนนั้น เจ็บปวดเจียนตาย แต่นักเรียนยังบังคับให้เธอไปขัดส้วม ในที่สุดเปี้ยนจงหวินก็ล้มลง น้ำลายฟูมปากและเสียชีวิตลง โดยเด็กสาวคนที่ไปเตะเข้าที่หัวเปี้ยนจงหวินอย่างแรง คือ หลิวถิงถิง เรดการ์ดที่เป็น หนึ่งในลูกสาวของ หลิวเส้าฉี ประธานธิบดีประเทศจีนในขณะนั้น ทั้งๆที่พ่อของเธอคือ กลุ่มคนที่โดนประนามว่า เป็นพวกเอียงขวา
ขณะที่เปี้ยนจงหวนิ ใกล้เสียชีวิต เหล่านักเรียนเรดการ์ดกลับไม่มีใครยอมเอาตัวเธอส่งโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกไปเพียงถนนเดียว แถมวันถัดมา หัวหน้าเรดการ์ดของโรงเรียนยังประกาศกึกก้องว่า "ธรรมะย่อมชนะอธรรม เปี้ยนจงหวิน เธอสมควรตายแล้ว"
นี่คือเหยื่อรายแรกของการปฎิวัติวัฒนธรรม ที่กำลังจะมีอีกหลายหมื่นศพตามมา พร้อมกับความถูกต้องในการกระทืบและทำร้ายคนในที่สาธารณะ เพราะ นี่คือทศวรรษแห่งความบ้าคลั่งของคนจีน ที่ไม่ต่างกับซอมบี้
หลังจากเหตุการณ์นี้ สามีของ เปี้ยนจงหวิน นำเงินไปซื้อกล้องถ่ายรูปที่ดีที่สุด เพื่อถ่ายรูปเป็นหลักฐานทุกอย่าง พร้อมกับเก็บเสื้อผ้า ปอยผม ทุกอย่างของเปี้ยนจงหวิน เพื่อหวังว่า วันหนึ่ง ภรรยาของเธอจะได้รับความเป็นธรรม นอกจากนี้ ลูกสาวของเติ้งเสี่ยวผิง ที่เป็นหนึ่งในแก๊งเรดการ์ด คือ เติ้งหยง ยังเข้าไปข่มขู่สามีของเปี้ยนจงหวินว่า ให้อยู่ห่างๆ อีกด้วย
ผู้นำนักเรียนเรดการ์ด
ถึงตอนนี้คงอยากรู้แล้วว่า ใครคือผู้นำกลุ่ม เรดการ์ดในโรงเรียนแห่งนี้ นั่นคือ ซ่งปินปิน คือ เด็กสาวไว้ผมเปีย สวมแว่น ดูเป็นเด็กเรียนไร้เดียงสา แต่ความจริงเธอคือ หัวหน้ากลุ่มเรดการ์ด ที่ทุบตี ทารุณกรรม เปี้ยนจงหวิน คุณครูของเธอเองจนเสียชีวิต
ซ่งปินปิน 宋彬彬 เธอ คือ ส่วนหนึ่งของการโฆษณาชวนเชื่อ ในยุคปฎิวัติวัฒนธรรมที่เหล่ากลุ่มเยาวชนเรดการ์ดต่างเอาเยี่ยงอย่าง ซ่งปินปิน เธอเป็นลูกสาวของ นายพลซ่งเหรินโฉง หนึ่งใน 8 ผู้อาวุโสของพรรคคอมมิวนิสต์ เธอจึงได้เป็นผู้นำกลุ่มเรดการ์ด
ในปี 2014 ซ่งปินปิน ในวัย 65 ปี เธอออกมาแถลงการณ์ ขอโทษกับพฤติกรรมของเธอและเพื่อนๆ แม้ว่า เธอจะออกมาขอขมาต่อพฤติกรรมของเธอ แต่ข่าวลือ คือ เธอเคยเอาน้ำร้อนลวกหญิงชราจนตาย บีบบังคับให้ลูกต้องฆ่าพ่อ และแข่งขันกันโบยตีคนที่ไม่นิยมเหมา อีกด้วย
แต่เหตุการณ์ที่พีคที่สุดของ ซ่งปินปิน คือ วันที่ 5 สิงหาคม 1966 เธอเพิ่งจะฆ่าเปี้ยนจงหวินไปหมาด แต่วันที่ 18 สิงหคม 1966 เพียง 13 วันหลังจากที่เธอสังหาร เปี้ยนจงหวิน เธอกลับได้พบกับประธานเหมาที่จตุรัสเทียนอันเหมิน และยังสวมปลอกแขน ให้กับประธานเหมาเจ๋อตุง เสื้อของเธอเพิ่งเปื้อนเลือดของเปี้ยนจงหวิน ที่สำคัญกว่านั้นคือ ประธานเหมา ยังออกใบอนุญาติให้ฆ่า "Licence to Kill" ให้กับ ซ่งปินปิน ด้วยการถามเธอว่า
เธอชื่ออะไร ชื่อ ปินปิน (อ่อนโยน) หรือ ไม่ได้นะ เธอต้องชื่อ ซ่ง เหย่าอู๋ (ซ่ง ร่วมพลังสู้) เพื่อเป็นใบประกาศิตว่า กระทืบคนเพื่อเหมา ไม่ผิดกฎหมาย
หลังจากวันที่ 18 สิงหาคม 1966 นี้เอง มีครูและผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดนสังหารไป 1772 คน
แต่ 2 ปีถัดมา พ่อของเธอ คือ ซ่งเหรินโฉง กลับกลายเป็น ผู้ไม่รักเหมา ซะเอง และต้องการล้มเหมา แต่เขากลับถูกเรดการ์ดลากตัวมาทำร้าย และประจาน ครั้งนั้นเอง ซ่งปินปินนั้น ถูกส่งตัวไปชนบท แต่เธออาศัยเส้นสายกลับมาเรียนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งได้สำเร็จจนจบ และไปเรียนต่อที่ MIT ประเทศสหรัฐ แต่งงานอยู่ที่สหรัฐ ใช้ชีวิตที่นั่น จนกระทั่งปี 2003 เธอถึงได้กลับมาใช้ชีวิตในประเทศจีนอีกครั้ง โดยอยู่แต่เพียงในแวดวงชนชั้นสูง
ย้อนกลับไปในยุคนั้นอีกครั้ง ถ้าพูดถึง เรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ ในยุคนั้น ในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง นั่นก็ตัวดีเลย โดยมีอาจารย์ชื่อ เนี่ยหยวนจื่อ คือ ผู้จุดประกายความคุ้มคลั่งแห่งยุคปฎิรูปวัฒนธรรม เธอเป็นแค่ อาจาย์สอนวิชาปรัชญาในมหาวิทยาลัยปักกิ่งเท่านั้น
วันที่ 5 สิงหาคม วันเดียวกับที่ เปี่ยนจงเหวิน เสียชีวิตนั้น ประธานเหมา เขียนหนังสือพิมพ์กำแพง ว่า ถล่มกองบัญชาการ ที่พุ่งเป้าไปที่ หลิวเส้าฉี ประธานธิบอดีจีน ที่เป็นใหญ่รองจากเหมา
เนี่ยหยวนจื่อ เธอ คือ คนระดับปัญญาชน ผู้คลั่งเหมา เธอออกตามล่า คนไม่รักเหมาไปพร้อมๆ กับเหล่าเยาวชนเรดการ์ด เธออาศัยหนังสือพิมพ์กำแพง เขียนข้อความซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวหาคนนั้นคนนี้ว่า ไม่รักชาติ ชังชาติ ทรยศต่อชาติ ไม่จงรักภักดีประธานเหมา ต้องกวาดล้างให้สิ้นซาก
อีก 2 ปีถัดมา กระแสตีกลับ เธอกลับถูกสั่งจำคุก สิ้นอิสรภาพไป 18 ปี จนเธอต้องหนีไปอาศัยที่ฮ่องกง และเขียนหนังสือระบายความผิด และเชื่อว่า การพยายามบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนตนนั้น โดยต้องรักในคนคนเดียวกันนั้น และเที่ยวไปชี้นิ้วด่าคนคิดต่างอย่างไร้เหตุผล ว่าชังชาติ ไม่ใช่คนที่สมควรมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งหายนะต่อประเทศชาติต่างหาก
นอกจากเธอออกมาสารภาพผิดแล้ว เธอยังออกมาสนับสนุน ประชาธิปไตย เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเที่ยมกัน อีกด้วย
หลิว เส้า ฉี
ส่วนหลิว เส้า ฉี 刘少奇 ในตอนนั้น เขาถือว่ามีอำนาจเป็นรองเพียง ประธานเหมาเท่านั้น และเขายังเป็นคนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เพิ่งพังพินาศจาก นโยบายก้าวกระโดดคร้้งใหญ่ อีกด้วย แต่เขาพร้อมเพื่อนสหายคือ เติ้งเสี่ยวผิง และเฉินหยุน เลือกที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เขาจึงถูกตราหน้าว่า เป็นผู้นำแห่งแนวทางทุนนิยม
จุดนี้เอง ที่ประธานเหมา ต้องกำจัดเขา และทำให้เขาต้องพบจุดจบที่น่าเศร้า ทั้งเอน็จอนาถ บอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเหมาอ้างว่า หลิวเส้าฉี คือ ผู้นำกระแสทุนนิยมมาสู่จีน และจะทำให้กระแสสังคมนิยมเหือดหายไป
ในเดือนมิถุนายน 1966 ก็เริ่มมีขบวนการ ยามแดง หรือ Red Guards ออกมาก่อความวุ่นวาย หลิวเส้าฉี ส่งคณะปฎิบัติการ ลงพื้นที่เพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์ สถาบันการศึกษาทั่วกรุงปักกิ่ง โดยเฉพาะการออกคำสั่ง 8 ประการ เพื่อกำจัดขอบเขตการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษา
แต่เหมาเจ๋อตุง เห็นว่า การต่อต้านการเคลื่อนไหวของมวลชนนั้น เป็นลักษณะสนับสนุนการแบ่งแยกชนชั้น ทำให้เหมาเจ๋อตุง เขียนหนังสือพิมพ์กำแพง ว่า ถล่มกองบัญชการ นั่นถือเป็นการเปิดฉาก ต่อสู้กับหลิวเส้าฉี อย่างเป็นทางการ
วันที่ 12 สิงหาคม 1966 หลังจากที่ เปี้ยนจงหวิน เสียชีวิต 7 วัน ก็มีคำสั่งปลดหลิวออกจากตำแหน่งรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเหมาให้หลินเปียวเข้ามารับตำแหน่งแทน ขณะที่หลิวเส้าฉี ก็ยังคงเป็นประธานธิบดีอยู่เช่นเดิม ขณะที่วันที่ 17-19 สิงหาคม มีการประชุมกับโฑูตจากต่างชาติ หลิวเส้าฉีกลับไม่ปรากฎตัว
ขณะที่วันที่ 1 ตุลาคม 1966 เป็นวันชาติจีน หลิวเส้าฉี ก็ปรากฎตัวอีกครั้งบนประตูเทียนอันเหมิน ขณะที่หลิวได้เขียนบทความวิจารณ์ตนเอง ทำให้เหมาให้โอกาสเขาในการปรับปรุงตัว พร้อมประกาศว่า ไม่ควรประนามหลิวเส้าฉี บนหนังสือพิมพ์กำแพงอีกต่อไป
แต่แล้ววันที่ 6 มกราคม 1967 เรดการ์ด พยายามลวง หลิวเส้าฉี และภรรยาไปไต่สวนกลางสวนสาธารณะ แต่โชคดี โจวเอินไหล เข้ามาขัดขวางไว้ได้ทันทำให้ทั้งสองคนปลอดภัย คืนนั้น หลิวเส้าฉี เข้าพบ เหมาเจ๋อตุง พร้อมกับยื่นใบลาออกทุกตำแหน่ง และขอไปเป็นชาวนาในชนบทพร้อมภรรยา แต่เหมาไม่ยอมรับการลาออก พร้อมกับให้หลิวเส้าฉี ไปอ่านหนังสือและพักผ่อน
แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ 1967 โจวเอินไหลพร้อมพรรคพวก วิจารณ์ นโยบายการปฎิวัติวัฒนธรรม ทำให้เหมาเจ่อตุงนั้นไม่พอใจอย่างมาก แต่เหตุการณ์นี้กลับส่งผลกระทบต่อ หลิวเส้าฉี แทน และทำให้เหมารับรู้ว่า มีคนสายทุนนิยมอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์ จริง และหัวหน้ากลุ่มสายทุนนิยมก็คือ หลิวเส้าฉี นั่นเอง
วันที่ 7 เมษายน 1967 เรดการ์ด ก็บุกที่พักของ หลิวเส้าฉี ที่จงหนานไห่(中南海) ที่เป็นเขตพำนักของผู้นำระดับสูงของพรรค แต่ครั้งนี้ โจวเอินไหลไม่ได้ห้ามปรามเหมือนครั้งก่อน แถมยังปล่อยให้มีการบุกเข้าไปไต่สวน และทำร้ายร่างกายหลิวเส้าฉี ที่ขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งประธานธิบดี ก่อนที่จะโยนเข้าคุกขังเดี่ยวที่เรือนจำ กรุงปักกิ่ง ขณะที่ ลูกสองคนของเขา คือ หลิวหยุ่นเจิน (刘允真) และหลิวเทา (刘涛) บุตรชายและบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาคนก่อน กลับไปเข้าร่วมเป็น เรดการ์ด และประกาศตัดความสัมพันธ์กับบิดา
ขณะที่เมียของ หลิวเส้าฉี คือ หวังกวงเหม่ย ก็ประสบชะตากรรมไม่แพ้กัน เธอถูกเรดการ์ดลากท่ามกลางฝูงชนที่บ้าคลั่ง ทุบตี ด่าทอ แถมถูกเอา สายห้อยคอที่ทำจากปิงปองมาล้อเลียนสร้อยไข่มุก และยังถูกจับใส่่เสื้อกี่เพ้าที่ยั่วยวน พร้อมกับกล่าวหาเธอว่า แต่งชุดเหมือนพวกบ้าทุนนิยม ก่อนจะโดนข้อหา เป็นสายลับให้สหรัฐอเมริกา โดนจับขังคุกเช่นเดียวกัน
โดยมีคำสั่งปลดเขาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ในเดือนตุลาคม ปี 1968 ตอนนั้นเขาเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เมื่อถูกทำร้ายร่างกายทำให้ร่างกายเขาอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ต่อมาก็เป็นโรคปอดบวม
วันที่ 17 ตุลาคม 1969 ขณะนั้น หลิวเส้าฉี ลมหายใจเขาอ่อนระโทยมาก เนื่องจากโรคปอดบวม จนถูกย้ายไปที่คุกเมืองไคเฟิง และจบชีวิตในวันที่ 12 พฤศจิกายน 1969 ในวัย 71 ปี อย่างไรก็ดี ในวันนั้นเองก็มีการเผาศพของเขาอย่างลับๆ ด้วยความเร่งด่วนและระบุสาเหตุการตาย ว่า เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และไม่มีการลงข่าวแต่อย่างใด
เหตุการณ์มาแดงขึ้นในปี 1972 เนื่องจาก ลูกๆ ของหลิวเส้าฉี ต้องการเยี่ยมพ่อของเขาจึงเขียนจดหมายถึง เหมาเจ๋อตุง เหมาเจ๋อตุงจึงตอบกลับว่า พ่อของหนู เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1969 แล้ว
ส่วนภรรยาของหลิวเส้าฉี ได้รับการปล่อยตัวในปี 1979 และทันได้อยู่ดู จุดจบของ เจียชิง และแก๊งออฟโฟร์ ที่เป็นมือไม้ของการปฎิวัติวัฒนธรรม
นี่ขนาดเป็นคนระดับประธานธิบดีของ ประเทศจีน ยังไม่เว้น หากคุณไม่นิยมเหมา และทุกวันนี้ ผู้นำรัฐบาลจีนหลายคนก็มาจากพกวเรดการ์ด เดิมทั้งนั้น พวกเขา พยายามทำให้การปฎิวัติวัฒนธรรมมันหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์พร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อใหม่ๆ มาโดยตลอด
ครั้งในสายตาผมแล้ว เหมาเจ๋อตุงนั้น นอกจากจะล้มเหลว ด้านนโยบายก้าวกระโดดที่มีคนล้มตายจำนวนมาก ยังล้มเหลวกับ นโยบาย ปฎิวัติวัฒนธรรมอีก ทำให้ผู้คนล้มตายหลายล้านคนอีกครั้ง ผมมองว่า เหมาเจ๋อตุงนั้น โหดร้ายไม่ต่างกับสตาลินเลยทีเดียวครับ ใครคิดเห็นอย่างไรก็คอมเม้นท์ไว้ได้นะครับ
อย่างไรก็ดี ใครชอบคลิปนี้ก็อย่าลืมกดไลค์กดแชร์กดซับสไคท์ให้ด้วยนะครับ
Info Media Bomoh Sihir Paling Ampuh
ตอบลบKualitas No. (1) Di Malaysia.
Bomoh sihir Terbaik dan Terpercaya Di Malaysia. Memikat Hati Pria Atau Wanita Mudah Yang Anda Inginkan.
"BUKTIKAN SEKARANG JUGA SEBELUM KEKASIH ANDA DI AMBIL ORANG LAIN"
Jika Berminat Silahkan Hub: KYAI ANOM SUROTHO Di: 085-298-569-393
APA YANG DI MAKSUD DENGAN BOMOH SIHIR PALING AMPUH!!!
1. Dihiyanati Pasangan
2. Cinta Di Tolak
3. Memikat Hati Lawan Jenis
4. Persaingan Cinta
5. Membangkitkan Gairah Cinta
6. Memikat Pasangan Anda Agar Tidak Berpaling Keorang Lain
7. Membuka Aura Yang Penuh Dengan Daya Pikat Agar Semua Orang Tertarik.
(KLIK LANGSUNG DI WHAYSAPP)
APA YANG DI MAKSUD DENGAN BOMOH SIHIR PALING AMPUH!!!
Bomoh Sihir Ampuh. Adalah Sebuah Sarana Pemikat Hati Pria Atau Wanita Yang Akan
Membantu Anda Mengcapai Impian Untuk Mendapatkan Jodoh Idaman Anda. Dengan Adanya Media Bomoh Sihir Paling Ampuh Ini Dalam Urusan Asmara Akan Di Permudah Dan Lancar. Kini Saatnya Anda Mulai Hidup Baru Dengan Cinta.
MANFAAT ILMU BOMOH SIHIR PALING AMPUH DI MALAYSIA!!!
Jika Anda Sudah Bosan Jomlo. Sekarang Saatnya Anda Bangkit Dan Maju Kedepan Untuk Mendapatkan Jodoh.
Anda Bersama Ilmu Bomoh Sihir Paling Ampuh Di Malaysia. Dengan Menggunakan Ilmu Bomoh Sihir Pengasihan Yang Ada Di Website Ini Maka Atas Izin Allah S.W.T. Anda Bisa Langsung Mendapatkan Pria Atau Wanita Idaman Anda Melaui Perantaran Media Ilmu Bomoh Sihir Pengasihan Pemikat Pria Atau Wanita.
INILAH MEDIA ILMU BOMOH SIHIR SUDAH TERBUKTI PALING AMPUH!!!
Sudah Banya Orang Yang Membuktikan
Keberhasilannya Dalam Mendapatkan Jodoh.
Memikat Hati Orang lain. Menundukan Atasan. Mengembalikan Kekasih Yang Di Rebut Orang Lain. Dengan Menggunakan Media Ilmu Bomoh Sihir Paling Ampuh Yang Di Website Ini
Niscaya Apapun Keinginan Anda Akan
Terwujud Silahkan Anda Buktikan Sendiri.
PERSYARTAN
Nama Lengkap Dan Gambar Anda
Nama Lengkap Dan Gambar Target
Sudah Ribuan Klien Yang Kami Telah Berhasil Dengan Ilmu Bomoh Sihir Pemikat Pria Atau Wanita. Ilmu Pelet Puter Giling. Ilmu Pelet Pengasihan Sukma Atau Ilmu Pelet Pengasihan Pemikat Pasangan. Kini Giliran Anda. Dan Masalah Anda Akan Dapat Dan Terselesaikan Dengan Baik!!!