วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

3 พี่น้องตระกูลซ่ง

 The Soong sisters (สามพี่น้องตระกูลซ่ง ผู้ยิ่งใหญ่)
“คนจีนต้องไม่ฆ่าคนจีนด้วยกันเอง” หรือ 中国人不殺中国人

เริ่มต้น
เรื่องราวเริ่มจาก  ชาร์ลี ซ่ง หรือ ซ่งเจียซู่ เดินทางไปสหรัฐ อายุ 9 ขวบ เพื่อช่วยงานกิจการของลุงที่บอสตัน แต่เขาไม่ชอบงานนี้นัก เขาจึงหนีลุง แล้วแอบลงเรือกลับมา กัปตันเรือเห็นว่าเรือออกมาไกลแล้ว จึงฝากเขาไว้กับโบสถ์ ที่นั่นเขาได้เปลี่ยนศาสนา และได้ชื่อใหม่ อยู่ที่นั่นจนเรียนจบมหาวิทยาลัยจึงเดินทางกลับจีนในปี1886  โดยประกอบอาชีพ โรงพิมพ์ และเป็นหมอสอนศาสนาไปด้วย ได้ แต่งงานกับ หนีกุ้ยเจิน   倪桂珍หญิงที่นับถือศาสนาเดียวกัน โดยมีลูก 6 คนเป็นชาย 3 คนและหญิง 3 คน

เขาเสียชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ด้วยโรคกระเพาะ ในปี 1918 อายุรวม 54 ปี

เรียงตามลำดับการเกิดดังนี้

1. ซ่งอ้ายหลิง (ลูกสาวคนโต) 宋藹齡 เสียชีวิตที่นิวยอร์ก ปี 1973

2. ซ่งชิงหลิง (ลูกสาวคนรอง)宋慶齡 เสียชีวิตที่ปักกิ่ง ปี 1981 อายุ 88 ปี

3. ซ่งจื่อหวุน หรือ ทีวี ซ่ง (ลูกชายคนโต)宋子文  (รัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน , ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน) เสียชีวิตที่แคลิฟอร์เนีย ปี 1971

4. ซ่งเหม่ยหลิง (ลูกสาวคนเล็ก)宋美齡 เสียชีวิตที่นิวยอร์ก ปี 2003 อายุ 106 ปี 

5. ซ่งจื่อเหลียง (ลูกชายคนรอง) (นักธุรกิจที่นิวยอร์ค)宋子良 เสียชีวิตที่นิวยอร์ก ปี 1983 อายุ 84 ปี

6. ซ่งจื่ออัน (ลูกชายคนเล็ก) (ประธานกรรมการธนาคารกวางตุ้ง)宋子安 เสียชีวิตที่ ฮ่องกง ปี 1969

ปูพื้น

1912 ปฎิวัตซินไฮ่ แม้จะสำเร็จ แต่ ข้อตกลของหยวนซ์่อไข่ งกับ ดร. ซุนยัดเซ็น คือ ก่อนที่จะเขียนกฎหมายและมีการเลือกตั้ง จะยอมให้หยวนซื่อไข่ เป็นประธานธิบดีไปก่อนชั่วคราว แต่หยวนซ์่อไข่กลับหักหลัง หันกระบอกปืนใส่พรรคก๊กมินตั๋งแทน

1916 หยวนซื่อไข่ เสียชีวิต จีนก็กลายเป็นยุคขุนศึก ขุนศึกแต่ละกลุ่มตั้งตัวเป็นใหญ่  ทำให้พรรคก๊กมินตั๋งต้องไล่ปราบแต่ละก๊ก ฉะนั้น การปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์มีอยู่ทั่วไป แม้หลุมฝังศพของพระนางซุสีไทเฮาก็ยังโดนขุดเพื่อปล้นเอาทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ และมีข่าวลือว่า มุกที่อยู่ในปากของพระนางซูสีไทเฮา ก็ถูกขโมยไป และตอนหลัง กลับกลายเป็นเครื่องประดับข้อเท้าของ ซ่งเหม่ยหลิง 宋美龄 หรือมาดามเจียงไคเชค

1925  ดร ซุนยัดเซ็น เสีย เจึยงไคเช็คขึ้นแทน เจียงไคเช็กต้องเผชิญหน้ากับพรรคคอมมิวนิสต์ที่แข็งแกร่งของ เหมาเจ๋อตุง

1931 ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย และนานกิง  เจียงไคเช็ก ยืนยันว่า ไม่ว่าจะอย่างไร ญี่ปุ่นก็ต้องพ่ายแพ้ ดังนั้น การปราบความแตกแยกในประเทศสำคัญกว่า  ดังนั้นเขาเลือกที่จะใช้กำลังปราบพรรคคอมมิวนิสต์มากกว่าที่จะสู้กับญี่ปุ่น ทำให้เขาโดนลูกน้องจับตัวเพื่อบังคับให้เขาเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อต้านญี่ปุ่น

1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 และถอนทัพออกจากจีน

1949 พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้ เจียงไคเช็ค และพวก ต้องอพยพไปไต้หวัน

ครอบครัวตระกูลซ่ง
ยุคสมัยนั้น  ปัญญาชนจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่พอใจต่อทางราชสำนักชิง ที่ใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อ ไม่ดูแลทุกข์สุขของประชาชน ปล่อยให้อดอยากยากแค้น นอกจากนี้จีนยังอ่อนแอ โดนต่างชาติเฉือนดินแดนออก ต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยอย่างน่าอับอาย ทำให้เหล่าปัญญาชนรวมกันวางแผนก่อการปฎิวัติ

ครอบครัวของชาร์ลี ซ่ง ค่อนข้างมีฐานะทางการเงิน มั่งมีและอบอุ่น ลูกหลานทั้งหมดได้รับการศึกษาอย่างดีจากต่างประเทศ คุณพ่อจบสหรัฐ และเป็นหมอสอนศาสนา ที่สำคัญเป็นเพื่อนกับ ดร. ซุนยัดเซ็น  孙中山 ที่เพิ่งจบแพทย์จากอเมริกากลับมา และเป็นผู้นำก่อการโค่นล้มราชวงศ์ชิง清朝 นอกจากนี้ ชาร์ลี ซ่งยัง สนับสนุนด้านการเงิน และ ใช้โรงพิมพ์ที่ปกติใช้ตีพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิล แต่กลับเอามาพิมพ์ใบปลิวข่าวสารการปฎิวัติอีกด้วย

สามสาวพี่น้องตระกูลซ่ง ซึ่งจบการศึกษาจากต่างประเทศในช่วงที่สังคมจีนสิ้นสุดราชวงศ์ชิงสู่สังคมสมัยใหม่ ได้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในครอบครัวซ่ง ซึ่งส่งผลต่อสังคมทั้งประเทศจีนด้วย

พี่ใหญ่ซ่งอ่ายหลิง 宋蔼龄 หรือ แนนซี่ ซ่ง หลังจบการศึกษา ได้เริ่มงานเป็นเลขานุการของ ดร. ซุนยัดเซ็น ก่อนจะไปแต่งงานกับมหาเศรษฐี ข่งเสียงซี (孔祥熙) ทายาทรุ่นที่ 75 ของขงจื่อ (孔子)

ซ่งอ่ายหลิง ได้แสดงบทบาทด้วยการใช้เงินในเปิดทางต่างๆ  เช่น การออกทุนให้ ดร.ซุนก่อตั้งโรงเรียนทหารฮ๋วงผู่黄蒲 เพื่อมอบให้เจียงไคเชคซึ่งเป็นลูกน้องที่ได้รับความไว้วางใจเป็นผู้ดูแล หรือในคราวที่ เจียงไคเชค ถูกจับเป็นตัวประกันที่ซีอาน (西安) หลังถูกปล่อยตัวได้นั่งเครื่องบินมาลงที่หนานจิง (南京) แต่ไฟฟ้าในหนานจิงถูกญี่ปุ่นถลุ่มเสียจนไฟนำร่องของสนามบินใช้การไม่ได้ ซ่งอ่ายหลิงจึงได้ให้สามีติดต่อเพื่อนฝูงที่เป็นเศรษฐีในหนานจิง นำรถยนต์มาจอดเรียงแถว และเปิดไฟหน้ารถเป็นไฟนำร่องให้เครื่องบินลงจอดได้สำเร็จ

หลังจาก เจียงไคเช็ค กุมอำนาจในก๊กมินตั๋ง เจียงไคเช็ก เขาต้องการการสนับสนุนจากตระกูลซ่งที่ทรงอิทธิพล ซึ่ง ซ่งอ้ายหลิง นั้นมีข้อเสนอให้เขา โดยในปี 1927 เธอเสนอจะระดมทุนจากบรรดานายธนาคารในเซี่ยงไฮ้มาช่วยหนุนเจียงไคเช็กสำหรับซื้ออาวุธ แต่ทั้งนี้เธอมีเงื่อนไขว่าเมื่อมีการตั้งรัฐบาลใหม่ที่นานกิง เจียงไคเช็คต้องให้ ซ่ง จื่อ-เหวิน (Soong Tse-ven) น้องชายของเธอเป็นรัฐมนตรีคลัง ให้สามีเธอเป็นนายกรัฐมนตรี และ เจียงไคเช็ก ต้องแต่งงานกับ ซ่งเหมยหลิง น้องสาวคนเล็กของเธอ และต้องมีซ่งเหมยหลิงเป็นภรรยาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ซ่งอ้ายหลิน ยังกล่าวหาว่า เฉิน เจี๋ย-หรู (จินนี่) ภรรยาของเจียงไคเช็คในขณะนั้นเป็นสายลับให้รัสเซียและขู่ให้เจียงกำจัดเธอออกไปให้พ้นทางโดยเร็ว

นอกจากนี้ ด้วยอำนาจเงินของ ซ่งอ้ายหลิน และความสัมพันธ์กับน้องสาวของเธอนี่แหละที่ให้พรรคคอมมิวนิสต์ กลับมาร่วมมือกับ พรรคก๊กมินตั๋ง เพื่อรบกับญี่ปุ่น แทนที่จะรบกันเอง และครั้งนี้เองที่ทำให้ 3 สาวพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง

หลังจากก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็ก พ่ายแพ้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ผัวเมียคู่ก็อพยพครอบครัวไปอยู่สหรัฐ

สาวคนกลางของตระกูลซ่งคือ ซ่งชิ่งหลิง 宋庆 龄 เมื่อจบการศึกษากลับจากต่างประเทศก็มาช่วยดร.ซุนยัดเซ็น  เธอเป็นที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยคำนึงถึงประเทศชาติก่อน การมาช่วยงานดร.ซุนได้นำไปสู่ความรักของทั้งคู่ ทั้งๆที่ ดร.ซุนยัดเซ็นนั้นมีภรรยาอยู่แล้ว แต่ทั้งคู่ก็แต่งงานกันที่ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1915  เหตุการณ์นี้ ทำให้ชาลี ซ่ง บิดาของเธอไม่พอใจอย่างมาก จนถึงกับประกาศตัดสัมพันธ์กับดร.ซุนยัดเซ็น อย่างเด็ดขาด และ กล่าวหาดร.ซุนยัดเซ็นว่า เป็น “คนลวงโลก”ต่อว่าดร.ซุนยัดเซ็นว่า “กูทุ่มเททั้งเงินทองทั้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือในการก่อการปฏิวัติ แต่ไม่ได้หมายถึงกูต้องยกลูกสาวให้เป็นทุนในการปฏิวัติด้วย”

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ดร.ซุนยัดเซ็น ตกอยู่ในวงล้อม ของศัตรู แม้จะหลบหนีมาได้ แต่ ซ่งชิ่งหลิง 宋庆 龄 ผู้เป็นภรรยาก็ได้รับบาดเจ็บจนแท้งลูก และ มีลูกต่อไปไม่ได้

หลังการเสียชีวิตของ ดร. ซุนยัดเซ็นในปี 1925 ก่อน ดร.ซุนยัดเซ็นจะตาย ความปรารถนาของเขาคือ การปลุกสำนึกให้ชาวจีน และเกิดสันติภาพในประเทศจีน โดยเขามีการประกาศพินัยกรรม
มีข้อความดังต่อไปนี้
"ข้าพเจ้าอุทิศตนเพื่อการปฏิวัติมา 40 ปี เพื่อแสวงหาสันติภาพแก่จีน เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ต้องปลุกจิตสำนึกของประชาชน รวมกับนานาประเทศที่ให้ความเสมอภาคแก่เรา
ตอนนี้ การปฏิวัติยังไม่สำเร็จเพื่อนร่วมชาติ จงต่อสู้ต่อไป อย่าท้อถอย"

หลังจากเสียชีวิตของ ดร. ซุนยัดเซ็น ทำให้ เจียงไคเช็ก ที่เป็นลุกน้องขึ้นมามีอำนาจแทน แต่เจียงไคเช็กเลือกที่กวาดล้าง พรรคคอมมิวนิสต์ อย่างหนัก แทนที่จะประนีประนอมกับเหมาเจ๋อตุง

ซ่งชิ่งหลิง มีอุดมการณ์อย่างแรงกล้าในการสร้างชาติ และรวมชาติให้เป็นปึกแผ่น ตามแนวคิดของดร.ซุนยัดเซ็น ทำให้เธอเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงในก๊กมินตั๋ง แต่ น้องคนเล็ก ซ่งเหม่ยหลิง ตกลงปลงใจแต่งงานกับเจียงไคเชค ซึ่งมีอุดมการณ์ต่างกันอย่างหนัก ซ่ง ชิ่งหลิง พยายามยึดแนวทางของดร.ซุนยัดเซ็นในการประนีประนอมกับฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยกันสร้างชาติจีน แต่เจียงไคเชค ค้านหัวชนฝาและต้องล้มล้างคอมมิวนิสต์ให้หมด เข่นฆ่าผู้ที่สงสัยจะเป็นฝ่ายคอมมิวนิสต์ทุกคน จน ซ่งชิ่งหลิง ทนไม่ได้ ต้องออกมาประกาศยืนคนละข้างกับเจียงไคเชต และหันไปร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว  ดังที่ดร.ซุนกล่าวว่า “ป่วยนอกรักษาง่าย ป่วยในเยียวยายาก” จึงต้องยุติปัญาภายในเพื่อเอาชนะศัตรูของชาติให้ได้ก่อน

หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยแล้ว ซ่งชิ่งหลิงก็ได้เป็นกรรมการในพรรคคอมมิวนิสต์  และเสียชีวิตในกรุงปักกิ่งเมื่อปี 1981 โดยขณะที่นอนป่วยใกล้สิ้นใจ ก็ได้ติดต่อไปยังน้องสาว ซ่งเหม่ยหลิง ซึ่งขณะนั้นพำนักอยู่ในอเมริกาให้กลับมาเพื่อเห็นหน้ากันครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่มีโอกาส เนื่องจากคนใกล้ชิดซ่งเหม่ยหลิงบอกว่าไม่ควรไปยุ่งกับพวกคอมมิวนิสต์

หลังเสียชีวิต ศพของซ่งชิงหลิง กลับไม่ได้ถูกฝังกับ ดร. ซุนยัดเซ็น  ในสุสานจงซาน 中山陵 ที่นานกิงเพราะคำสั่งเสียของเธอให้ฝังศพเธอที่สุสานตระกูลซ่ง ที่เซี่ยงไฮ้  แทน

หลายคนคิดว่า เธอน่าจะสำนึกผิดเรื่องที่ เธอเลือกซูนยัดเซ็นมากกว่าพ่อแม่ เพราะครั้งนั้น พ่อของเธอถึงขั้นตัดพ่อลุกกันเลยทีเดียว  นอกจากนี้ หลังจากที่เธอกลับมาเข้าข้างพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคก๊กมินตั๋ง กลับโจมตีเธอ ว่า ดร. ซุนยัดเซ็น มีภรรยาเพียงคนเดียวคือ หลูมู่เจิน 卢慕贞 (ภรรยาคนแรกของซุนยัดเซ็น) ให้เธอไม่พอใจอย่างมาก

นอกจากนี้ ่ช่วงยุคปฎิวัติวัฒนธรรม พวกเรดการ์ด ที่เซี่ยงไฮ้ บุกทุบป้ายหลุมฝังศพตระกูลซ่ง ขุดกระดูกพ่อแม่ของเธอขึ้นมาทำลาย เมื่อ ซ่ง ชิงหลิง เห็นภาพถึงกับปล่อยโฮ เหล่านี้อาจเป็นเหตุให้เธอเลือกที่จะอยู่กับพ่อมากกว่า

สาวน้องนุชคนสุดท้อง-ซ่งเหม่ยหลิง 宋美龄 หรือ มาดามเจียง(1898-2003)  เธอเคยตั้งปณิธานว่า “ถ้าไม่ใช่ฮีโร่แล้วจะไม่ขอแต่งด้วย” ฉะนั้นเมื่อเจอเจียงไคเชคมาจีบซึ่งขณะนั้นเจียงไคเชคเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนทหารฮ๋วงผู่ ทหารในประเทศจีนส่วนใหญ่ย่อมเป็นลูกศิษย์ และ อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ซ่งอ่ายหลิง ก็ยุส่งอีกว่า หากซ่งเหม่ยหลิงแต่งงานกับเจียงไคเชคก็จะได้เป็นสตรีหมายเลยหนึ่งของประเทศ ขณะที่ตัวเขาเองได้แต่งงานกับบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดของประเทศแล้ว ส่วนซ่งชิ่งหลิงซึ่งแต่งงานกับดร.ซุน ก็มีบารมีและได้รับการเคารพยกย่องถึง “บิดาของชาติ”ถ้าลงเอยกันอย่างนั้นได้ ตระกูลซ่งก็จะเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ถึงกับสามารถเรียกได้ว่าเป็นราชวงศ์ตระกูลซ่ง 宋家皇朝 ทีเดียว

ในที่สุดครอบครัวตระกูลซ่งก็ยอมให้ลูกสาวคนเล็กแต่งงานกับเจียงไคเชค ซึ่งตอนนั้นเจียงไคเช็กมีลูกมีเมียแล้ว โดยให้เจียงไคเชคยอมรับเงื่อนไขสามประการของตระกูลคือ

1.จะต้องรักและไม่ทอดทิ้งซ่งเหม่ยหลิงตลอดจนชีวิตจะหาไม่
2.ต้องหย่าขาดกับภรรยาคนปัจจุบัน
3.จะต้องเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสตร์ นิกายออโธด็อกซ์ เหมือนครอบครัวซ่ง

ครั้งสงครามจีน-ญี่ปุ่นนั้น ญี่ปุ่นบุกหนัก ประชาชนเรียกร้องให้จีนเลิกสู้กันเอง และให้รวมตัวกันสู้กับญี่ปุ่น ซึ่ง ซ่ง เหม่ยหลิง (น้องสาวคนเล็ก) สนับสนุนแนวคิดนี้  แต่เจียงไคเช็กยืนยันว่าต้องสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตุงก่อน ค่อยสู้กับญี่ปุ่น (เขาเลือกที่ถอนทัพจากนานกิง เพื่อรักษากำลังพลไว้ ปล่อยให้ญี่ปุ่นบุกยึดนานกิงอย่างง่ายดาย)

ในปี 1936 เจียงไคเช็ก ต้องไปประชุมพรรคก๊กมินตั๋งที่ ซีอาน แต่เขากลับโดนลูกน้องควบคุมตัว โดยนายพล จางเสวียเหลียง และ หยางหู่เฉิง เพื่อบังคับให้ พรรคก๊กมินตั๋ง ร่วมมือกับ พรรคคอมมิวนิสต์ ต่อต้านญี่ปุ่น

พรรคก๊กมินตั๋ง ลงความเห็นว่า ให้ส่งเครื่องบินไปถล่มซีอาน แต่ซ่ง เหม่ยหลิงยับยั้งไว้ และตัดสินใจเดินทางไปซีอานเพื่อเจรจาช่วยเจียงไคเช็ก และยอมร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์ ต่อสู้กับญี่ปุ่น

ครั้งนั้นเอง สามพี่น้องตระกูลซ่ง ได้มาเจอกันอีกครั้ง และได้เดินทางไปเยี่ยมทหารในแนวหน้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระหว่าง เหมาเจ๋อตุง กับ เจียงไคเช็ก

ครั้งนั้น ซ่ง เหม่ยหลิงถึงกับออกแถลงการณ์ ต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น และรวบรวมชาวจีนต่อต้านญี่ปุ่น โดยก่อนสิ้นสงครามโลกคร้งที่ 2 เธอยังแสดงบทบาท โดยเดินทางไปขอให้สหรัฐสนับสนุน พรรคก๊กมินตั๋ง อีกด้วย

แต่หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยอมแพ้  ก็เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศจีนอีกครั้ง ระหว่างก๊กมินตั๋ง กับพรรคคอมมิวนิสต์  แต่ครั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ สามารถยึดประเทศจีนได้สำเร็จ ทำให้พรรคก๊กมินตั๋ง เจียงไคเช็ก และซ่งเหม่ยหลิง ต้องอพยพไปไต้หวัน จบจวนเจียงไคเช็กตาย ซ่งเหม่ยหลิงก็อพยพไปใช้ชีวิตบั้นปลายในอพาร์ทเม้นหรูในกรุงนิวยอร์ก จนเสียชีวิตในปี 2003 ด้วยอายุรวม 106 ปี

อ้างอิงจาก คุณคมคิด
มีคำกล่าวกันว่า "คนหนึ่งรักเงิน คนหนึ่งรักอำนาจ คนหนึ่งรักชาติ" (一個愛錢、一個愛權、一個愛國 หรือ อี้เกอไอ้เฉียน อี้เกอไอ้เฉวียน อี้เกอไอ้กั๋ว) หมายความว่า พี่สาวคนโตแต่งกับขุนคลังเพราะเห็นแก่เงิน น้องสาวคนเล็กแต่งกับขุนศึกเผด็จการเพราะหลงอำนาจ พี่คนรองมีความรักชาติ เพราะแต่งกับบิดาของชาติและทำงานเพื่อชาติมาตลอด

คำกล่าวนี้ คับแคบยิ่งนัก ทั้ง 3 พี่น้องมีชะตากรรมที่พิเศษ เกิดในยุคที่พิเศษ ทั้ง 3 ล้วน รักชาติบ้านเมือง เพียงแต่รักกันคนละแบบ และผลแพ้ชนะของประวัติศาสตร์ทำให้ ผู้แพ้ และ ผู้ที่ปิดปากตัวเองถูกฉาบเคลือบไว้ด้วยภาพลักษณ์ด้านลบอย่างมีอคติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น