พรรคเม้งก่า หรือพรรคจรัสแสง
คำว่า เม้ง แปลว่า แสงสว่าง หรือ ดวงอาทิตย์ (日) กับ พระจันทร์ (月) ผสมกันเป็นเม้ง (明) ลัทธินี้จึงมีพิธีไหว้ ทั้ง พระอาทิตย์ และดวงจันทร์
โดยเดิมลัทธิแม้งก่า เป็น การนำคำสอนของศาสนาแมนนี เป็นฐากฐานสำคัญ ลัทธินี้ในจีนนั้น มักจะยกย่อง เตียวก๊ก หัวหน้าโจรโพกผ้าเหลือง ในยุคสามก๊ก เป็นศาสดา และบูชา เทพ แมนนี เป็นเทพสูงสุดประจำลัทธิ
เนื่องจากลัทธินี้มักจะอยู่เบื้องหลังพวก กบฎต่อต้านรัฐบาล จึงถูกมองว่า เป็นพรรคมาร ราชสำนักจึงไม่ชอบลัทธินี้ นอกจากนี้ ลัทธิเดิม คือ แมนนี่ เสียงคล้ายกับคำว่า มาร ในภาษาสันสฤต ที่หากออกเสียงโดยคนจีนจะยิ่งมีเสียงคล้ายกันมาก จึงเป็นที่มาของการเรียก พรรคมาร
แมนนี่
รากฐาน เดิม มาจาก ลัทธิแมนนี่ หรือ มณี ดั้งเดิมกำเนิดจากทางเปอร์เซีย หรือ อิหร่านในปัจจุบัน ถือกำเนิดในช่วงศตรรษที่ 3 โดยศาสดาชื่อ มณี ถือเป็น สาวกแห่งแสงส่าง โดยถือว่า ตนเองเป็นผู้สืบทอดคนสุดท้ายของ ผู้เผยแพร่คามจริงแก่ชาวโลก ตั้งแต่ โซโรอัสเตอร์ ที่เป็นลัทธิบูชาไฟ พระพุทธเจ้า และพระเยซู โดยเชื่อว่า คำประกาศของศาสดาคนก่อนๆ นั้นยังมีข้อบกพร่อง และยังห่างไกลจากความจริงอันสมบูรณ์ ดังนั้น มณี จึงตั้งตนเป็นผู้เผยแพร่ความจริง อันเป็นสากล แทนศาสนาอื่นทั้งหมด โดยเป็นการผสมผสานคำสอนของศาสดาองค์ก่อนๆ เข้าด้วยกัน และป้องกันการบิดเบือนคำสอนเหมือนศาสนาอื่น ที่มักจะบันทึกคำสอนของศาสดา เมื่อศาสดาเสียชีวิตลงแล้ว ต่างกับ ลัทธิแมนนี ที่บันทึกทุกคำสอนของศาสดาในขณะที่ ศาสดายังมีชีวิตอยู่
แต่ในยุคถัดมา ลัทธิแมนนี กลับถูกมองเป็น พวกนอกรีต ทำให้ไม่นานก็หายไปจากยุโรป โดยเฉพาะอาณาจักรโรมันที่ล้างบางลัทธิแมนนี่อย่างหนักหน่วง แต่ช่วงศตรรษที่ 7 ประเทศจีนยุคนนั้นสามารถพิชิตเตอร์กิสถานลงได้ ทำให้มีผู้เผยแพร่ศาสนามณี หรือฑูตจากเปอร์เซียได้เดินทางมาเยือนราชงศ์ถัง ในปี 694 ในรัชสมัยของ พระนางบู๊เช็กเทียน แต่ไม่นาถัดมา สมัยพระเจ้าถังอู่จง ยึดที่ดินทุกศาสนา มาทำไร่นาแทน ศาสานพุทธก็โดน เช่นเดียวกับ ลัทธิแมนนี่ ตอนนั้นเองที่ทำให้ ลัทธิแมนนี่ ถูกประกาศเป็นลัทธินอกรีตเช่นกัน ทำให้สาวกของลัทธิแมนนี่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แต่ยังคงเป็นศาสนาอันดับ 2 ในจีนรองจากศาสนาพุทธเท่านั้น
ช่วงที่อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ลึกลับนี่เอง ที่ได้ผสมแนวคิดปรัชญาแนวคิดของลัทธิเต๋า ด้วย จึงกลายเป็น ลัทธิเม้งก่า โดยในปี ค.ศ. 920 นี่เอง ลัทธิเม้งก่าก็ก่อกบฎขึ้นในยุค 5 ราชวงศ์
จูหยวนจาง กับ ลัทธิบัวขาว
หลังจากนั้น ชาวแมนนี่ ก็ผสมผสาน กับชาวพุทธ เกิดเป็นนิกายสุขาวดี ต่อมาในยุคซ้องใต้ ก็กลายเป็นนิกายบัวขาว โดยจูหยวนจาง นี้เองที่ใช้คำสอนของลัทธินี้ ในการโค่นล้ม พวกมองโกล
ในยุคสมัยราชวงศ์ชิงนี่เอง ที่ลัทธิบัวขาว ต่อต้านราชวงศ์ชิง โดยไม่ยอมโกนหัว และแตกเป็นสมาคมลับมากมาย
ย้อนกลับมา ในช่วงล่มสลายของราชวงศ์หยวน ยุคนั้น จูหยานจาง ที่ต่อมเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชงศ์ หมิง นั้น กิมย้ง นำมาใช้เป็นตัวละครเล็กๆ ในดาบมังกรหยก โดยเมื่อก่อต้ั้งราชวงศ์สำเร็จ ก็ตั้งชื่อราชวงศ์ว่า หมิง หรือเหม็ง เพื่อยกย่องลัทธิเม้งก่า เลยทีเดียว แม้ว่า นักประวิติศาสตร์จะแย้งว่า จูหยวนจาง เคยบวชเป็นพระในศาสนาพุทธมาก่อน ไม่น่าจะย้ายไปนับถือลัทธิเม้งก่าได้
แต่อย่าลืม่า จูหยวนจาง นั้น ได้ไปเข้ากับ กบฎโพกผ้าแดง ที่นับถือลัทธิ บัวขาว ซึ่งคือ เม้งก่า ที่ผสมกับศาสนาพุทธ สิ่งนี้เองที่เป็นหลักฐานยืนยันว่า ราชวงศ์เม้ง หรือ หมิงนั้น มาจากคำว่า เม้งก่า แน่นอน
3 ฑูตจากเปอร์เซีย
ในดาบมังกรหยกนั้นเตียบ่อกี้ประสบความพ่ายแพ้ ครั้งหนึ่ง กับ สามฑูต พิเศษจากพรรคเม้งก่า ที่พรรคเม้งก่า สาขา เปอร์เชียส่งเข้ามาเพื่อจัดการความไม่เรียบร้อยในพรคคเม้งก่าในจีน
เตียบ่อกี้นั้น แพ้อย่างยับเยิน ทั้งเรื่องยุทธวิธีการต่อสู้ที่แม้จะฝีมือและกำลังภายในสู้กับเตียบ่อกี้ไม่ได้แต่อาศัยสามคนสู้ เหมือนหนึ่งคนกลายเป็นคนทีมีสามเศียรหกกร โดยใช้อาวุธคือ ป้ายประกาศิตอัคคี ทั้งหกป้ายที่สามทูตถือเป็นอาวุธ
สามทูตประกอบไปด้วย ทูตเมฆลิ่วล่อง ทูตลมศักดิ์สิทธิ์ และ ทูตจันทร์รำไพ ซึ่งเป็นสตรี ล้วนใช้หลักวิชาการต่อสู้ที่เตียบ่อกี้ และพรรคพวก ไม่เคยเจอ โดยระบุว่า แม้พลังยุทธ์ จะไม่สูงมาก แต่ในเรื่องกระบวนท่านั้นถือเป็นวิชาขั้นสุดยอด แล้ว หลักการต่อสู้ที่ว่านี้นำมาจากเคล็ดความบนป้ายประกาศิตอัคคีทั้ง 6 ป้ายที่บรรดาฑูตทั้งสามใช้เป็นอาวุธนั่นเอง ภายหลังเมื่อ เสี่ยวเจียว ช่วยแปลเคล็ดความในป้ายประกาศิตอัคคี จึงทำให้เตียบ่อกี้สามารถที่จะเอาชนะสามฑูตได้สำเร็จและทำให้พลังเคลื่อนย้ายจักรวาลของเขาสมบูรณ์แบบขึ้นมา
หลายคนอาจจะสงสัยว่า วิชาฝีมือทั้งพลังเคลื่อนย้ายจักรวาล และ วิชาบนป้ายประกาศิตอัคคี นี้มาจากใครกันแน่ เพราะ ในฉบับแปลเป็นไทยนั้นใช้ทับศัพท์และเรียกเป็นภาษาแต้จิ๋วว่าเป็น “ผู้เฒ่าภูผาฮาลซัน” ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาที่จารึกไว้ หรือ แม้กระทั่งพลังเคลื่อนย้ายจักรวาล กิมย้งบรรยายผ่านตัวราชสีห์ขนทองว่า ผู้เฒ่าภูผานั้น เดิมเป็นลูกศิษย์สามพี่น้องของท่านมหาปราชญ์แห่งเปอร์เชีย ตอนหลังผู้เฒ่าภูผาฆ่าพี่น้องที่เหลือและตั้งตัวเป็นหน่วยล่าสังหารถึงขนาดเข้าไปลอบสังหาร พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดแห่งอังกฤษ กันทีเดียวแต่ไม่สำเร็จ เพราะพระมเหสีของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดพุ่งเข้ามาขวางเส้นทางมีดจนตายแทนไป
บุคคลๆ นี้น่าสนใจที่จะเช็กดูครับว่ามีตัวจริงหรือไม่ ในฉบับภาษาอังกฤษ ผู้เฒ่าภูผา นั้นมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ฮัสซัน ไอ ซับบาห์" (Hassan-i Sabbāh) เกิดเมื่อปีคศ 1050 - 1124) เป็นชาวเปอร์เชียโดยกำเนิด เป็นผู้ก่อตั้ง กลุ่มมุสลิม นาซารี ต่อมาได้ยึดพื้นที่บนเทือกเขา Alborz แล้วก่อตั้งเป็นป้อมปราการ อลามุธ ( Alamut) เขาเป็นผู้มีฝีมือที่โดดเด่นทีสุดในเรื่องของการเป็นมือสังหารที่สามารถลอบสังหารอย่างมาก
อลามุธ ก็คือ ชื่อป้อมปราการในตำนานของชาวเปอร์เซีย เป็นศูนย์รวมของขบวนการมือสังหารแห่งยุค สาวกและลูกศิษย์นักล่าสังหารของฮัสซันนั้นเรียกกันเฉพาะว่า ฮัสซันชิน (Hashashin) หรือ ขณะที่ชาวยุโรปที่ไปทำสงครามครูเสด เรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า แอสแซสซิน (Assassins) ซึ่งก็หมายถึงมือสังหารนั่นเอง
เรื่องราวของกลุ่มคนเหล่านี้ดังมากในยุคสงครามครูเสด และในบันทึกของมาร์โคโบโล อธิบายว่า เขาเป็นบุคคลน่าสะพรึงกลัว มีความสามารถหลากหลาย มีการศึกษา และทักษะการต่อสู้อย่างสูง ที่สำคัญเขามีเทคนิคในการโน้มน้าว คนหนุ่มให้หันมานับถือศาสนาอิสลามอย่างแรงกล้าอีกด้วย
ชาวยุโรปเรียก ฮาสซัน ว่า Lord Of The Dead Mountain ซึ่งก็หมายถึง เจ้าแห่งหุบเขาแห่งความตาย หรือ อลามุธ นั่นเอง
ตามประวัติของป้อมอลามุธและ ฮัสซันซิน นั้นเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร แต่เป็นแหล่งรวมการศึกษาของศาสนา อิสลาม โดยมีภารกิจหลัก คือ การเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ต่อมาจึงกลายเป็นองค์กร แอซแซสซิน
กลุ่มของเขาถือเป็นอิสลามแบบอนุรักษ์นิยม หากใครไม่เห็นด้วย เขาจะส่งมือสังหารไปลบสังหาร ทั้งฝั่งเปอร์เซีย และ ฝั่งตะวันตก ที่โด่งดังจริงๆ ก็คือ การลอบสังหาร กษัตริย์ อังกฤษ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ลองแชงส์ (The English King Edward Longshanks) เกือบสำเร็จโดยที่มีดที่จะตรึงหัวใจของกษัตริย์อังกฤษนั้นเบี่ยงไปนิดเดียวจากการเข้าขวางของสตรีข้างกายของกษัตริย์อังกฤษนะครับ
อย่างไรก็ดี พระเจ้าชาห์แห่งเปอร์เชีย ก็ส่งกองทัพเข้ามาจัดการกับค่ายนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยตีแตก แต่พวกเขากลับถูก มองโกลส่งกองทัพที่โหดยิ่งกว่าเข้ามาทำลาย อลามุธ ราบเป็นหน้ากลองในปี คศ 1256 ซึ่งเป็นยุคของฮูกาลูข่าน ในเวลานั้นศาสดาของพวกเขาอย่าง ฮาสซัน นั้นตายไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ที่แท้จริงนั้น ฮาสซัน นั้นเป็นอิสลามที่เคร่งครัด จึงไม่น่าจะกลายเป็นนิกาย เม้งก่า ได้ เพราะฉะนั้นการที่กิมย้ง ระบุว่า ผู้เฒ่าภูผา เป็นพวกเดียวกับ พรรคเม้งก่า นั้นจึงน่าจะเป็นจินตนาการล้วนๆ และเทคนิคการผสมเรื่องของกิมย้งเอง เนื่องจาก ลัทธิแมนนี่มาจากอิหร่าน และ อาสซัน ก็มาจากอิหร่าน ในยุคเดียวกับปลายราชงศ์หยวน หรือมองโกล มากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น