วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เรื่องจริงของ ตำนาน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้

เรื่องจริงของ ตำนาน เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
หวางจินหลง(黄金荣) ตู้เยว่เซิน (杜月生) และ จางเส่าหลิน(张啸林) 



เซี่ยงไฮ้

ปัจจุบัน เป็นเมืองท่าสำคัญของโลก และเป็นเมืองที่หรูหราที่สุดของจีน


ปูพื้น
หลังสงครามฝิ่นครั้งที่ 2  ค.ศ. 1860  กองทัพอังกฤษอาศัยข้ออ้างจากการเป็นผู้ชนะในสงคราม ขอทำสนธิสัญญากับรัฐบาลจีนเพื่อใช้เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองท่าของตน ซึ่งชาติตะวันตกอื่นๆ ก็ขอทำตามบ้าง เซี่ยงไฮ้ยุคนั้นกลายเป็นสวรรค์ของชาวตะวันตก ตึกรามบ้านช่องสร้างแบบยุโรป ร้านค้า ร้านอาหาร ธนาคาร โรงพิมพ์ และธุรกิจต่างๆ ของชาวตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว เซี่ยงไฮ้กลายเป็นศูนย์รวมของทุกอย่าง รวมทั้ง สิ่งหรูหราฟุ่มเฟือย สำหรับเศรษฐีทั้งชาวจีนและชาวตะวันตก ปัจจุบันถือเป็นเมืองไฮโซอันดับ 5 ของโลก โดยได้ฉายา “ปารีสตะวันออก”

และ The Bund หรือ หาด Waitan กลายปกครองของต่างชาติ  (ชื่อเป็นหาด แต่ตัวมันไม่ติดทะเล แต่ติดแม่น้ำหวงฝู) เป็นที่มาของเพลง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่ชื่อเพลง “เซี่ยงไฮ้ถาน” แปลว่า “หาดเซี่ยงไฮ้”  เนื้อเพลงมีความหมาย  คลื่นกระแสน้ำไหลเชี่ยวชั่วนิรันตร์ ไหลผสมปนเปกันไป แยกไม่ออกว่า สุขหรือทุกข์ สำเร็จหรือล้มเหลว ความรักหรือความเกลียด แม้มันจะไหลเชี่ยวมันก็ไม่อาจหยุดดิ้นรนได้)

ค.ศ.1912 ปฎิวัติซินไฮ่  จีนภายใต้การปกครองของรัฐบาลสาธารณรัฐจีน (พรรคก๊กมินตั๋ง) ซึ่งยึดอำนาจการปกครองจากราชวงศ์ชิง 

แล้วยุคทองของเซี่ยงไฮ้ก็สิ้นสุดลงเมื่อเกิดสงครามขึ้นระหว่าง จีนและญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1937 ญี่ปุ่นที่ครองแมนจูกัว ก็เกิดวิกฤตตอง 7 คือวันที่ 7 เดือน 7ปี1937  ญีุ่่ปุ่นอาศัยกรณีพิพาทที่ สะพานมาโคโปโล โดยญี่ปุ่นอ้างคนหายขอส่งทหารเข้าข้ามมาตรวจ แล้วก็อาศัยจังหวะน้ั้น บุกสะพานมาร์โคโปโล การสู้รบครั้งนั้นทหารจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ญี่ปุ่นบุกเข้าเซี่ยงไฮ้ในวันที่ 11 สิงหาคม ชาวเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่หนีไปฮ่องกง ในยุคนั้น ต่อมาญี่ปุ่นก็บุก เมืองนานกิง เมืองหลวงในวันที่  13 ธันวาคม ปีนั้น และก่อเรื่อง สังหารหมูที่นานกิง 

จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง หลังจากนั้นประเทศจีนก็อยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นปฏิปักษ์กับชาติตะวันตก ดังนั้นในปี ค.ศ.1949 เป็นต้นไป ชาวตะวันตกซึ่งมีบริษัทอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ทั้งหมดก็จะย้ายไปตั้งสำนักงานที่เกาะฮ่องกง

เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ในยุคต้นคริสตศตวรรษที่ 20 ชาติตะวันตกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในจีน โดยมีเซียงไฮ้เป็นเมืองท่าสำคัญ และเป็นเขตเช่าของทั้ง ฝรั่งเศส และอังกฤษ หลังการปฎิวัติซินไฮในปี 1911 รัฐบาลชิงล่มสลาย เข้าสู่ยุค ขุนศึก ทำให้หลังจากนั้นเซียงไฮ้ กลายเป็นเมืองเถื่อน เกิดอิทธิพลนอกกฎหมาย โดยเฉพาะกลุ่มชินปัง  ที่มีอิทธิพลอย่างมากในเซี่ยงไฮ้
ในยุคนั้น เซี่ยงไฮ้ เป็น แหล่งรวมของ อำนาจ เงินตรา ธุรกิจทั้งบนดินและใต้ดิน และที่นี่เองเป็นที่ก่อร่างสร้างตัวของบรรดานักเลงทั้งหลาย และที่เป็นระดับเจ้าพ่อยุคนั้น คือ 3 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวงจินหรง 黄金荣 จางเสี้ยวหลิน 张啸林 ตู้เยว่เซิง 杜月笙 แห่งแก๊ง ชิงปัง 青帮 แก๊งอิทธิพลที่มีอำนาจล้นฟ้าในยามที่บ้านเมืองแทบจะไร้ขื่อแป

หงจินทรง ฉายา หรงทอง (Golden Rong)
เขาเกิดในปี 1867 ที่ เจียงซู สมัยเด็กเป็นเด็กเกเร ไม่สนใจการเรียน และมุ่งหน้าไปที่ เซี่ยงไฮ้เพื่อแสวงโชค งานแรกเป็น ลูกจ้างเก็บของในโกดังสินค้า ต่อมา สมัครเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยเขตเช่าฝรั่งเศส ไต่เต้าจนได้เป็น นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ในตอนแรกเขาเป็นแค่คนรวบรวมข่าวสารของชาวบ้าน ต่อมาเขาใช้นโยบาย โจรจับโจร ทำให้เขารู้จักนักเลงมากมาย ทำให้ตำแหน่งของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้ว่า คดีใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ มีคนเชื่อว่า  เขาเป็นคนวางแผนสร้างคดีขึ้นมาเอง และ แก้คดีเองมากกว่า แต่ตัวเขาเองกลับเข้าสู่ด้านมืดเสียเอง

เขาเริ่มต้นร่วมมือกับ  ตู่เย่วเซิง และจางเซี่ยวหลิน ได้สัมปทานขายฝิ่นในเขตเช่าฝรั่งเศส เปิดบ่อน และค้าหญิง แต่เขาก็ยังทำอาชีพตำรวจนเขาเกษียณอายุราชการในวัย 60 ปีเลยทีเดียว (ปี 1925)

ตู้เย่วชิง (22 สิงหาคม 1888 - 16 สิงหาคม 1951)

เขาเกิดในปี 1888 มรฑลเจียงซู อายุ 4 ขวบ ก็กำพร้าพ่อแม่ ถูกเลี้ยงดูโดยลุงของเขา อายุ 14 ขวบก็ไปเสี่ยงโชคที่ เซี่ยงไฮ้ เริ่มจากเป็นเด็กร้านขายผลไม้ โดยเป็นเด็กปลอกผลไม้ ฝีมือมีดของเขานั้น ได้ชื่อว่า สามารถปลอกเปลือกลูกแพร์ ได้โดยไม่มีรอยใดๆ จนได้ฉายา ลูกแพรเย่วชิง

และคบหานักเลง เขาติดการพนันอย่างหนัก พร้อมๆ กับฝึกกลโลงการพนันไปด้วย  จนโดนไล่ออกจากงาน แต่ในปี 1911 เขาก็ได้เข้ากลุ่ม ชิงปัง โดยยุคนั้นมี เฉินซื่อชาง เป็นลูกพี่ใหญ่แห่งเขตเสี่ยวตงเหมิน พาเขาเข้าแก็งค์ จนสามารถเข้าถึง หวงจินหรง ได้ โดยเขาได้รับผิดชอบการค้าฝื่น (ยุคนั้น ฝรั่งเศสให้สัมปทานในเซี่ยงไฮ้แก่ แก๊งค์นี้) และคุมบ่อนในเขตเช่าฝรั่งเศส จนมีรายได้มหาศาล

เขาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง แต่ก็รู้จักใช้คน พร้อมๆ กับเป็นคนประสานความสัมพันธ์ระหว่างนักเลงกลุ่มต่างๆ นอกจากนี้ยังตีสนิทกับนักการเมือง นักหนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะการซื้อใจคน เขาชอบทำทาน โดยเเฉพาะการซ์ื้อยาแจก ทุกครั้งที่มีภัยพิบัติ และมักปกป้องข้อพิพาทแรงงาน และเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นคนใส่สูทสุภาพ นุ่มนวล มีศิลป รวมถึงเขายังสร้างวัดขนาดใหญ่ีอกด้วย

จางเซี่ยวหลิน ชื่อเล่นคือ ไอ้เสือ 
เดิมเขาได้รับการฝึกทหาร แต่เรียนไม่จบ เริ่มต้นจากเขาติดการพนันอย่างหนัก  ทำให้เขาต้องมารับงานเป็นบอดี้การ์ดในหอนางโลม และบ่อนการพนัน  ต่อมาก็ได้เข้ากลุ่มชิงปัง เมื่อ 1912 และพยายามตีสนิท หวงจินหรง จนที่สุดเขาได้สาบานเป็นพี่น้องกับสองคนแรก  


3 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้
ปี 1912  ตู้เย่ว์ชิง จางเสี่ยวหลิน และหวงจนหรง ร่วมกันเปิด สัมปทานขายฝิ่นในเขตเช่าฝรั่งเศส รวมถึงบ่อน และค้าหญิงบริการ โดยตู่เย่ว์ชิง เป็นคนรับผิดชอบขายฝิ่น และบ่อนการพนัน ส่วน จางเสี่ยวหลิน รับผิดชอบการผสมฝิ่น

ปี 1927 ตู้เย่ว์ชิง จางเสี่ยวหลิน และหวงจนหรง ร่วมมือกับพรรคก๊กมินตั๋ง ส่งคนไปลอบสังหาร แกนนำสมัชชาแรงาน ของพรรคคอมมิวนิสต์ และเหล่ากรรมกรที่ประท้วง ในปีเดียวกันนั้น เจียงไคเช็กแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้ พวกเขาก็ร่วมจัดงานแต่งงานที่ใหญ่โต จนเขาได้รับความช่วยเหลือกลับจาก เจียงไคเช็ค เพื่อเปิด ธนาคาร จงฮุ่ย ในปี 1929

ปี 1937 ระหวางสงครามซิโน จีน ญี่ปุ่น ครั้งที่ 2  ทหารญี่ปุ่นบุกยึดเซี่ยงไฮ้ได้ ขณะที่ ตู่เย่ว์ชิง ก่อตั้งสมาคมปฎิบัติการภาคพลเรือน เพื่อต่อต้านญี่ปุ่น ตู่เย่วชิง และ หวงจินหรง หาเงินทุนสนับสนุนการต่อสู้กับทหารญี่ปุ่น และส่งเงินให้กับกองทัพก๊กมินตั๋ง รวมถึงวางแผนสังหารคนทรยศชาติไปหลายคน แต่ตู่เย่ว์ชิง หลบหนีออกนอกเซี่ยงไฮ้ไปอยู่ฮ่องกง

 กลับกัน จางเซี่ยวหลิน เลือกที่จะสนับสนุนญี่ปุ่น เขาจัดตั้งองค์กร ชื่อ สมาคมเอเชียใหม่เพื่อสันติภาพ เพื่อสนับสนุนกองทัพญี่ปุ่นอย่างออกหน้า นอกจากนี้ เขายัง ลอบสังหารชาวจีนที่ประกาศว่า รักชาติ รวมถึง จัดหาเสบียง อาหาร ยา อาวุธให้กองทัพญี่ปุ่นอีกด้วย

พรรคก๊กมินตั๋ง ต้องวางแผนลอบสังหาร จางเซี่ยวหลิน ถึง 2 หน ครั้งแรก ส่งกลุ่มคนไปดักยิงรถเขาที่ไฟแดง แต่คนขับรถของเขาขับฝ่าไฟแดงออกไป โดยที่รถเขาเป็นรถกันกระสุนอีกด้วย

จนพรรคก๊กมินตํ่ง ซื้อตัว หลินหวย ปู้ เป็นไส้ศึก หลังเหตุลอบสังหาร 2 ครั้ง จางเซี่ยวหลิน ต้องการ บอดี้การ์ดมือดี มาประกบ หลินหวย ปุู้ นั้นถูกส่งมา แน่นอนเขาเป็นมือปืนที่แม่นมาก และด้วยความช่วยเหลือของ คนขับรถ ทำให้ จางเซี่ยวหลิน พอใจอย่างมาก และให้หลินหวยปู้ มาเป็นบอดี้การ์ด 


14 สิงหาคม 1940 คฤหาสถ์ของเขาล้อมไปด้วยทหารญี่ปุ่นคุ้มกัน และวันนั้นมีจัดโอเปร่าในบ้านของเขา เมื่อถึงเวลา หลินหวยปู้ แกล้งทะเลาะกับ คนขับรถ เสียงดัง ทำให้ จางเซี่ยวหลิน ต้องออกจากคฤหัสถ์ มาดู จังหวะนั้นเอง หลินหวยปู้ ก็ลั่นไกสังหารจางเซี่ยวหลิน ทันที จบชีวิต หนึ่งในสามเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ 

ปี 1941 สงครามกับญี่ปุ่นจบลง พรรคก๊กมินตํ่ง กลับเข้ามามีอำนาจในเซียงไฮ้ แม้ว่า ตู่เยว์เชิง เดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ 

ปี 1942 หวงจินหรง ร่วมมือกับ ตู่เย่วเซิง ร่วม เหตุการณ์วันที่ 12 เมษายน กับพรรคก๊กมินตั๋ง สังหารแกนนำ และสมาชิกพรรคคคอมมิวนิสต์ เมื่อพรรคก๊กมินตั๋ง ตั้งมั่นที่นานกิง หวงจินหรงได้ตำแหน่งเป็นถึงที่ปรึกษารัฐบาล

ปี 1946 ตู่เย่วเชิง ลงสมัครรับการเลือกตั้ง สภาท้องถิ่น แม้เขาจะชนะเลือกตั้ง แต่เขากลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคก๊กมินตั๋ง เขาจึงเลือกลาออกเอง

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เจียงไคเช็ค ส่งลูกชาย คือ เจียงเจิงกว๋อ เข้ามาดูแลเซียงไฮ้ เขาจับกุมตัว ตู้เหวยผิง ลูกชายของตู้เย่วชิง สั่งจำคุก 6 เดือนในข้อหาเก็งกำไรค่าเงิน  ทำให้เขารู้ดีว่า อำนาจของ ตู่เย่วเชิง ลดลงเรื่อยๆ ในที่สุด พรรคก๊กมินตั๋งพ่ายแพ้

ค.ศ. 1949 พรรคกว๋อหมินตั่งพ่ายแพ้แล้ว เซี่ยงไฮ้กำลังจะถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้ามายึด 

วันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1949 ตู้เยว่เซิง ขึ้นเรือโดยสารของฮอลันดามุ่งหน้าสู่ฮ่องกง ทิ้ง หวงจินหรง ไว้ที่เซี่ยงไฮ้

คืนหนึ่ง ตู้เยว่เซิงรีบร้อนมาที่คฤหาสน์ของหวงจินหรง เพื่อเกลี้ยกล่อม หวงจินหรง ให้หนีออกจากเซี่ยงไฮ้ไปกับเขา ทว่า หวงจินหรง ไม่คิดจะทิ้งเซี่ยงไฮ้ไป สาเหตุนั้นอาจเป็นเพราะว่า

หนึ่ง หวงจินหรงในเวลานั้นก็อายุย่างเข้า 80 ปีแล้ว

สอง เขาเชื่อว่าความดีความชอบที่ เขาเคยต่อต้านญี่ปุ่นจะช่วยปกป้องเขาได้

สาม เขามีรายชื่อ สายลับที่ทำงานให้กับเจียงไคเช็กอยู่ในมือ หวงจินหรง หวังจะใช้สิ่งนี้เป็นบรรณาการเอาใจพรรคคอมมิวนิสต์ โดยเชื่อว่านี่จะทำให้เขาอยู่รอดปลอดภัย

แต่เขาก็ยังส่งภรรยาหลวง คือ หลินกุ้ยเซิง เมียหลวหนีไปฮ่องกงพร้อมเงินสดและของมีค่า

ตู่เย่วเชิง เลือกอพยพไปฮ่องกง (ความจริงเขามีทางเลือกคือจะไปไต้หวันก็ได้ แต่เขาเลือกที่จะไปฮ่องกงแทน) เขายังคงต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน แต่หลังจากนั้น 2 ปี เขาก็เสียชีวิต ในวันที่ 16 สิงหาคม 1951 ศพของเขาถูกย้ายไปฝังที่ไทเป ประเทศไต้หวัน เพื่อเป็นเกียรติที่เขาเคยช่วยเหลือเจียงไคเช็ค และพรรคก๊กมินตั๋ง และสุดท้ายเมื่อภรรยาของเขาเสียชีวิตก็ได้นำศพมาฝังไว้คู่กัน

ส่วนชะตากรรมในบั้นปลายชีวิตของ หวงจินหรง เพราะเขาเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้คนเดียวที่อยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่ต่อ แม้จะเข้าสู่ยุคสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว


วันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 เซี่ยงไฮ้ก็ได้รับการปลดปล่อย พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ามายึดครองเซี่ยงไฮ้อย่างเป็นทางการ  หวงจินหรง ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจวัตรที่เขาทำประจำจนคนเซี่ยงไฮ้สมัยนั้นพูดกันจนติดปากว่า แต่ละวันของหวงจินหรง... 上午泡茶馆,下午泡澡堂。เช้าขลุกอยู่โรงน้ำชา บ่ายจมอยู่กับโรงอาบน้ำ

แต่เสือเฒ่าอย่าง หวงจินหรง ย่อมไม่เดิมพันด้วยไพ่ใบเดียว ด้านหนึ่ง เขาทำทีไม่อนาทรร้อนใจ อีกด้านหนึ่ง เขาวางแผนให้ หลี่จื้อชิง 李志清 ลูกสะใภ้ ขนเอาทรัพย์สินส่วนหนึ่งออกไปฮ่องกงก่อนหน้านั่นแล้ว โดยสั่งให้ ลูกสะใภ้ ไปตั้งรกรากตระเตรียมไว้ รอเวลาเหมาะๆ หวงจินหรงจึงจะค่อยตามไปสมทบ

ระหว่างนั้น หวงจินหรงก็ปล่อยข่าวว่า ถูกลูกสะใภ้ปล้นเอาทรัพย์สินไปจนหมดเนื้อหมดตัว เพื่ออำพรางไม่ให้ถูกยึดทรัพย์สิน โดยหวังว่าตัวเขาจะสามารถอยู่เงียบๆ เสพสุขแบบสบายๆ

ในขณะนั้นเมืองเซี่ยงไฮ้ ยังมีความวุ่นวายปล้นชิงอยู่ และส่วนมากพวกที่สร้างความวุ่นวายก็เป็นคนของชิงปัง พรรคคอมมิวนิสต์จึงส่งคนไปต่อรองกับ หวงจินหรง หวังอาศัยอำนาจอิทธิพลของหวงจินหรงในฐานะลูกพี่ใหญ่สั่งการให้ลูกสมุนหยุดสร้างความวุ่นวาย เพื่อให้สังคมสงบเรียบร้อย หวงจินหรงให้ความร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอย่างดี

เซี่ยงไฮ้จึงเหมือนสงบราบคาบ แต่ทว่า จีนในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจนั้น ยังคงมีคนของพรรคกว๋อหมินตั่งซุ่ม ก่อหวอด กระทำการลับๆ บ่อนทำลายพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งการลอบสังหาร การปล้นอาวุธ จึงเกิดนโยบายปราบปรามพวกปฏิกิริยาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ซึ่งก็หมายถึง พวก กว๋อหมินตั่ง ที่ยังตกค้างอยู่นั่นเอง

หวงจินหรง ตกเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ประชาชนเรียกร้องให้จับกุมมาพิจารณาคดี หรือส่งไปใช้แรงงาน เพราะการก่อกรรมทำเข็ญของเขาในอดีต มีการบุกเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ของหวงจินหรง พบอาวุธปืน 10 กระบอก เท่านั้นยังไม่พอ ยังพบฝิ่นจำนวนมากด้วย (หวงจินหรงยังคงเสพฝิ่นอยู่) แต่ หวงหยวนเทา 黃源涛 ลูกบุญธรรมของหวงจินหรง ออกหน้ารับเป็นเจ้าของทั้งปืนและฝิ่นจึงถูกจับเข้าคุกแทน ส่วนหวงจินหรงรอด

แต่หวงจินหรงรู้ว่าตัวเองคงรอดไปได้ไม่นาน หากไม่ทำอะไรสักอย่าง

วันที่ 20 เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1951 หน้าหนึ่งนสพ. เหวินฮุ่ยเป้า 文汇报 ในเซี่ยงไฮ้ ตีพิมพ์จดหมาย คำสารภาพผิด 自白书 ของหวงจินหรง ในเนื้อความระบุว่า  ตนรู้สำนึกผิดกับสิ่งไม่สมควรกระทำ และพร้อมจะชำระล้างเป็นคนดีในสังคมใหม่  พร้อมกับภาพ พของ ชายชราอายุ 84 ปี ถือไม้กวาด กวาดถนนอยู่หน้าตึกระฟ้าขนาดใหญ่

ชายชราผู้นี้ คือ หวงจินหรง เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ผู้ที่เคยมีอิทธิพลล้นฟ้าประหนึ่งเจ้าชีวิต ส่วนตึกระฟ้านั้นคือ 大世界 The Great World แหล่งบันเทิงใหญ่กลางเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ หวงจินหรง เคยเป็นเจ้าของนั่นเอง


อนิจจา จากเจ้าพ่อที่ยิ่งใหญ่คับเมือง มาสิ้นลายลงเอยเป็นตาแก่กวาดถนน! ไม่รู้ว่า หวงจินหรง ถูกทางการลงโทษประจานให้ได้อาย หรือ เป็นแผนสร้างภาพของตัวเขาเอง แต่ภาพนี้ก็ทำให้เขารอดการถูกปราบปรามมาได้อีก แต่เขาก้ถูกกักบริเวณ และถูกส่งไปใช้แรงงานเพื่อปรับปรุงความประพฤติ

วันที่ 20 มิถุนายน 1953 เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ หวงจินหรงก็จบชีวิตลง ด้วยโรคชรา ในวัย 85 ปี


ในหนังเรื่องเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่มี สวีเหวินเฉียง ฟงฉฺิงฉิง และติงลี่ นั้นฟงจิ้นเหยาพ่อของฟงฉิงฉิง นั้น นำมาจาก ตู้เยว์เซิน นั่นเอง ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น