วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปรมาจารย์ ตัวจริง จาก Grand Master

The Grandmaster (สปอย)

The Grandmaster ของหว่องกาไว นั้นเป็น นิยายที่อิงเรื่องจริงในประวัติศาสตร์  โดยอ้างอิง ยิปมัน เป็นตัวเดินเรื่องหลัก และเน้นผูกเรื่องเพื่อให้  เหล่า ปรมาจารย์กังฟู (ตามชื่อหนัง) มาผูกเรื่องเข้าด้วยกัน มาแต่งเรื่องใหม่

เนื้อเรื่อง
ในยุคทศวรรษที่ 1930 กงยู่เถียน เดินทางมาจากทางเหนือ มาเพื่อประกาศรวบรวมมวยทางใต้เข้ากับทางเหนือ (ก็คือ ท้าประลองนั่นเอง หากมวยทางใต้แพ้ ก็หมายความว่า ใครจะฝึกมวยที่แพ้)  โดยทางใต้นั้นเลือก ยิปมัน แห่งฝอซาน (ที่นักประวัติศาสตร์ กังฟู สงสัยว่า ทำไมต้องเป็น ยิปมัน เพราะทางใต้ยุคนั้นมียอดมวยเยอะมาก และหากเป็น หย่งชุน ที่ฝอซาน ยิปมันในตอนนั้นก็ไม่ใช่มือหนึ่งของหย่งชุนแน่นอน เพราะ สายหย่งชุนนั้นลงรากฐานที่ฝอซานยุคนั้น)

แต่เอาเป็นว่า หว่องกาไว อาจต้องการผูกเรื่องคนดังๆ ไว้ด้วยกันก็เป็นได้

หลังจากนั้น ลูกสาว กงรั่วเหมย ลูกศิษย์หม่าซัน  และ รุ่นน้องของกงยู่เถียน ติ่งเหลี่ยวซาน ก็เข้ามาห้ามไม่ให้สู้กับ ยิปมัน ที่เป็นกังฟูหน้าใหม่ เพราะจะเสียเกียรติของตัวเองเปล่าๆ แต่การต่อสู้ระหว่าง กงยูเทียน กับ ยิปมันนั้นกลับเป็นการต่อสู้ด้านปรัชญาแทน ครั้งนั้น ยิปมันตอบโจยก์ของผู้เฒ่า กงยู่เทียนได้ กงยู่เทียนจึงยอมรับในความสามารถของยิปมัน

ต่อมา กงรั่วเหมย ลูกสาวกลับมาขอแก้มือกับยิปมัน ยิปมันกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป ต่อมาญี่ปุ่นบุกจีน ในสงครามซิโนจีน ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ทำให้ยิปมันต้องเดินทางไป ฮ่องกง ส่วน หม่าซํน ลุกศิษย์กลับไปเข้าข้างญี่ปุ่น ทำให้อาจารย์กงยูเทียนต้องสั่งสอนศิษย์ ว่าจะสอนไม้ตาย ท่า ลิงหันหลังแขวนป้าย ให้ ความจริงเป็นปรัชญาเตือนศิษย์ว่า ยังกลับตัวทัน แต่หม่าซันไม่ยอมกลับตัว อาจารย์จึงลงมือ หม่าซันพลาดลงมือกับอาจารย์จน กงยู่เทียนตาย

กงรั่วเหมย ประกาศล้างแค้นแทนพ่อ แม้ว่า ก่อนตายพ่อจะสั่งเสียให้ปล่อยวางเรื่องนี้ และให้แต่งงานมีครอบครัวใหม่ แต่เธอประกาศยกเลิกงานหมั้น ฝึกวิชา เพื่อล้างแค้น และในคืน วันปีใหม่ เธอก้ไปดักรอหม่าซันที่สถานีรถไฟ เพื่อล้างแค้น แม้ว่าเธอจะล้างแค้นได้สำเร็จ แต่เธอก็ปาดเจ็บจนต้องเสพฝิ่นตลอด

ขณะที่มีดโกนนั้น โดนตามล่าจะนักฆ่าที่ถูกส่งมาฆ่าตลอด โดยครั้งหนึ่งเขาได้รับความช่วยเหลือจากกงรั่วเหมยด้วย  จนหนีไปฮ่องกง เพื่อเปิดร้านตัดผม ยังมีนักเลงมาหาเรื่อง จนสุดท้ายเขาก็เปิดโรงเรียนกังฟูสำเร็จ เช่นเดียวกับ ยิปมัน 

กงยู่เถียน 
กงยู่เถียน ในหนังนั้น เขาถือเป็นสุดยอดฝีมือทางเหนือ ครั้งนี้ต้องการมาปะลองกับทางใต้ เพื่ออยากหาผู้สืบทอดตำแหน่ง 'ปรมาจารย์"

ตัวละครนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจาก กงเป่าเทียน (Goung Baotian 1871-1943) เขาถือเป็นสุดยอดกังฟูแห่งยุคนั้น โดยเขาเชี่ยวชาญ มวยปากัว (มวย 8 ทิศ)  เขาเกิดที่ซานตง เริ่มงานเป็นเด็กเสิร์ฟ เขาได้เป็นลูกศิษย์ของ ยอินฝู่ Yin Fu (โดย ยอินฝู่ คือ ลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจาก ตงไห่ชวน ผู้คิดค้น เพลงมวยปากัว ขณะที่ ตงไห่ชวน และยอินผฝู่ก็มีตำแหน่งเป็นถึง องค์รักษ์พิทักษ์ฮ่องเต้ โดยระบบองค์รักษ์ฮ่องเต้ จะถูกคัดเลือกจาก กองธงทั้ง 3 ที่เก่งที่สุดของแมนจู)

มีเรื่องเล่าที่ต่างกันไป สำหรับ กงเป่าเถียน ที่ได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์ยอินฝู่  เรื่องหนึ่งคือ พี่ชายเขา กงเป่าซาน เป็นลูกศิษย์ของ อยินฝู่ ก่อนได้ และจึงได้แนะนำ กงเป่าเถียน มาเป็นศิษย์

อีกเรื่องคือ เขาต้องเดินผ่านที่ อยินฝู่ สอนทุกวัน แต่ทุกวันเขาจะหยุดดู จนอาจารย์ อยิน เรียกเข้ามาสอบถามว่า ถ้าอยากเรียนก็มาฝึกร่วมกัน แต่เขายืนยันว่า เขาไม่มีเงิน และตัวเขาก็เก่งกังฟูอยู่แล้ว  อาจารย์หยินจึงให้เขาแสดงกังฟูให้ดู 1 กระบวนท่า(ที่เขาได้แอบดู)  อาจารย์หยิน ก็รับเขาเป็นศิษย์ทันที

ขณะยังเด็ก เขาได้ชื่อว่า เป็นคนที่มีพลังขาแข็งแรงและสามารถกระโดดได้สูงกว่าคนทั่วไป และ เขายังสามารถทรงตัวบนขอบตระกร้าหวายได้ตั้งแต่เด็กแล้วด้วย  นอกจากนี้ หากมีคนปล่อยนกให้บินขึ้นไป เขายังสามารถกระโดดขึ้นเพื่อจับนกตัวนั้นไว้ในมือได้อีกด้วย

ตัวเขาเองถือว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญ มวยปากัว อย่างมากโดยเฉพาะ ท่าที่เน้นทำลายกระดูกคู่ต่อสู้ นอกจากนี้ นิ้วเขาก็แข็งแกร่งมาก รวมถึงยังฝึดวิชาชิงกง (วิชาตัวเบา) อีกด้วย

เขาเริ่มงานด้วยการเป็นผู้คุ้มกันระดับ นายพล 8 ธงของแมนจู ต่อมาถึงได้เป็นรับตำแหน่ง ผู้คุ้มกันจักรพรรดิกว่างสี โดยปกติ ราชวงส์ชิง จะตัดสรรคนที่เก่งที่สุดจากหน่วยธงต่างๆ มาเข้ารับการคัดเลือกเพื่อรับหน้าที่ดังกล่าว โดยเขามีชื่อในประวัติศาสตร์ ในยุคกบฎนักมวย อี้เหอเถียน เนื่องจาก เขาเป็นคนพาซูสีไทเฮา และจักรพรรดิกวางซี หนี ตอนพันธมิตร 8 ชาติบุกวังปักกิ่ง

ในหมู่ชาวยุทธ์ มักเรียกเขาว่า "ลิงกง" เพราะ เขาเป็นคนที่เคลื่อนไหวเร็วมาก และ มักใช้ท่าลิงในมวยปากัว (ในหนังก็จะมีการสอนไม้ตายให้ลูกศิษย์ ในท่าลิงแขวนป้ายด้วย)  และเขาถือยอดยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเรื่องเล่าว่า ปกติเขาจะเป็นคนคุ้มครองนายพล ซางเซ่าหลิน โดยนายพลได้จัดงานปาร์ตี้และได้ถามเขาว่า ถ้ามีคนชักปืนจ่อหัวคุณ คุณจะทำเช่นไร พร้อมกับชักปืนมาจ่อหัว  แต่มือยังไม่ทันขยับ มือของกงเป่าเถียน ก็จับข้อมือของจางไว้แน่นเรียบร้อยแล้ว นายพลจางเซ่าหลินนั้น เป็นคนที่ชื่นชอบกงเป่าเทียนเป็นอย่างมากอีกด้วย

ความจริงเขามีฉายาอีกชื่อ คือ นิ้วเหล็กเป่าเถียน มีเรื่องเล่าว่า เขาเพียงใช้นิ้วลูบไปบนไม้หนา 5 เซนติเมตร แต่เนื้อไม้กลับสึกไป 3 เซนติเมตร ตามรอยนิ้วของเขา ครั้งหนึ่ง เคยมีอาจารย์วิชาหมัดตั๊กแตน มาท้าทายต่อสู้กับเขา อาจารย์คนนี้ตัวใหญ่กว่าจึงใช้ท่ากอด  เขาเพียงแค่บิดตัวเล็กน้อย และ ใช้นิ้วมือจู่โจมไปที่ซี่โครงของคู่แข่ง เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ของเขากระดูกซี่โครงหักเลยทีเดียว

ต่อมา เขาได้รับคำสั่งให้ไปปกป้อง จอมพลหนุ่มซางซู่เหลี่ยนที่ปักกิ่ง ทำให้จอมพลซางเซ่าหลิน โดนลอบสังหาร ทำให้เขารู้สึกไม่ดีและเลือกที่จะลาออก เพื่อกลับบ้านเกิดที่ซานตง เพื่อเปิดโรงเรียนสอนมวยปากัว  เพราะเขาเคยรับปากทั้งน้ำตากับอาจารย์ อยินฝู่ ว่า เขาจะสืบทอดวิชา ปากัว ให้แก่คนรุ่นถัดไป โดยบ้านเกิดของเขานั้น แม้จะมี 2 ชั้น แต่จะไม่มีบันได เขาจะใช้ไม้กว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 2.4 เมตร วางพาดไว้เท่านั้น เวลาขึ้นจะเดินตามไม้ขึ้นไป แต่ตอนลงจะกระโดดลงมา

หลังจากนั้นเขาก็มีลุกศิษย์มากมาย มีลูกศิษย์คนหนึ่งอยากสร้างชื่อเสียง จึงไปลงแข่งประลองยุทธ เขากลับสั่งห้ามทันที และสั่งให้ลูกศิษย์คนนี้ยอมแพ้ในการประลองยุทธทันที (ในหนัง หม่าซันลูกศิษย์เขาเข้ามาขวางทางคนจะท้าสู้กับอาจารย์ และลงมือกับยอดยุทธ์ไปหลายคน  กงอี้เถียน สั่งห้ามหม่าซัน และ ให้หม่าซันซ่อนตัว ห้ามแสดงฝีมือเด็ดขาด 10ปี)

บั้นปลายชีวิต เขาติดฝิ่นอย่างหนัก (ความจริงเขาติดฝิ่นตั้งแต่อยู่ในวังแล้ว แต่เพิ่งเริ่มส่งผลต่อสุขภาพยามแก่ ) นอกจากนี้ ลูกของเขา กงจินถัง ก็มาถูกญี่ปุ่นสังหาร นั่นทำให้เขาเศร้าโศกมาก และเป็นสาเหตุให้เขาเสียขีวิตในปี 1943

รายคนที่มาดักท้าประลองกับยิปมันต้นเรื่อง
1. หญิงโรงงิ้ว ใช้มวยปากว๋อ (ไม่ใช่ ปากัวนะครับ ปากว๋อ หลี่ฉุนยี่ ดัดแปลงมวยสิงอี้ เป็นมวย ปากว๋อ ที่ดังจะเป็น ดาบเดี่ยว ตามที่หญิงโรงงิ้วบอก)
2. ชายแก่คนที่สอง ใช้มวยสิงอี้ (ในหนัง เขาประกาศชัดว่า มวยสิ่งอี้ กำเนิดมาจาก งักฮุย ผู้รักชาติ ซึ่งเป็นตามประวัติศาสตร์ของมวยสิ่งอี้ครับ)
3. ชายวัยเท่ายิปมัน ผมไม่รู้จริงๆครับ คนแปลมวยเขาว่า มวยฮั่งเก๋อ แต่ผมไม่รู้จัก

กงรั่วเหม่ย
ลูกสาวคนเดียวของ กงยู่เถียน ปรมารย์กังฟู ผู้ได้รับการถ่ายทอด 64 ฝ่ามือ จากพ่อของเธอ เธอละทิ้งทุกอย่างเพื่อล้างแค้นให้พ่อ  ตัวละครของเธอได้รับแรงบันดาลใจจาก สี่ เฉียนเกี้ยว  Shi Jianqiao (1906-1979)

(ยุคขุนศึก คือหลังราชวงศ์ชิง ล่ม แม้หยวนซื่อไข่จะขึ้นเป็นประธานธิบดี แต่ต่อมาเขาเสียชีวิตลง ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน โดยเฉพาะกลุ่มทหารเป่ย์หยาง และทหารมณฑลต่างๆ จนกระทั่งพรรคก๊กมินตํ่ง ได้รวบรวมคนได้อย่างเป็นทางการ ยุคนั้นมีทหารเข้าร่วมศึกนี้รวมทุกฝ่ายถึง 1 ล้านนาย มีก๊กต่างๆกว่า 20 ก๊ก ก๊กใหญ่สุด คือ ก๊กเฝิงเทียน ของจางจั่วหลิน ครองตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หรือแมนจูกั๊ว)  ขณะที่เจียงไคเช็ก ของพรรคก๊กมินตั๋ง อยู่ที่กวางตุ้งรวบรวมคนที่กวางตุ้งก่อนจะบุกขึ้นเหนือ ตั้งนครหนานจิง เป็นเมืองหลวงได้สำเร็จ)

กลับมาเรื่องของ พ่อของ สี่ เฉียนเกี้ยว นั้นป็น ผู้อำนวยการทหารในเขตซานตง ภายใต้ ขุนศึกจางจงชาง 张宗昌 ทหารในอาณัติของ จางจั้วหลิน 张作霖 ขุนศึกแมนจูเรีย )  ทำสงครามทางภาคเหนือ กับก๊กจื่อลี่ (ปัจจุบันคือเหอเป่ย์)  (เรียกสงครามครั้งนั้นว่า สงครามก๊กเฝิงเทียน-ก๊กจื่อลี่ครั้งที่ 2)   ในปี 1925 พ่อของเธอพยายามจะยึดมณฑลซานตง แต่กลับพบว่า ตัวเขากลับถูกล้อมรอบด้วยกองทัพของก๊กจื่อลี่  โดยนายพล ซุนฉวนฟาง สามารถชนะศึกนั้น และจับตัวพ่อของเธอมาประหารชีวิตด้วยการตัดหัวต่อหน้าสาธารณชน ที่สถานีรถไฟ (ในหนังเป็นฉากแก้แค้น ที่สถานีรถไฟเช่นกัน)

หลังจากนั้น 2 ปี ซุนฉวนฟาง ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่ง หลังจากที่ก๊กมินตั๋งสามารถบุกขึ้นเหนือได้ และไม่ต้องการขุนศึกท้องถิ่นอีกต่อไป ซุนฉวนฟางจึงมาก่อตั้งสมาคมนับถือศาสนาพุทธที่เทียนจิน

เธอสาบานว่าจะแก้แค้นแทนพ่อ  10 ปี หลังจากนั้น เธอก็คอยติดตาม ซุนชวนฟาง จนในที่สุด บ่ายวันที่ 13 พฤศจิกายน 1935 ในเทียนจิน  เมื่อได้จังหวะ เธอก็เข้าประกบ ซุนชวนฟาง จากด้านหลัง ขณะที่เขากำลังนำบทสวดมนตร์ หลังจากนั้น เธอก็ยิงปืนไป 3 นัด ยิงเสร็จ เธอก็อธิบายกับคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และ แจกกระดาษพับที่เขียนด้วยลายมือของเธอพร้อมกับรอยประทับนิ้ว ให้ด้วย ว่านี่คือการแก้แค้นให้พ่อ

เธอถูกจับตัว จนในที่สุด วันที่ 13 สิงหาคม 1936 ศาลสูงสุดตัดสินให้จำคุก 7 ปี แต่แล้วในวันที่ 14 ตุลาคม 1936 รัฐบาลแห่งชาติ ก็ลงนามให้เธอได้รับอภัยโทษจากรัฐบาลจีน เพราะการลอบสังหาร ซุนชวนฟาง เป็นไปด้วยความชอบธรรมในฐานะลูกกตัญญู  ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันมากระหว่าง นิติกรรม กับ จริยธรรม

หลังจากนั้นเธอ ยังได้รับเลือกตั้งเป็นรองประธานสตรี แห่งซูโจว และเป็นคณะกรรมการเทศบาลของพรรคคอมมิวนิสต์อีกด้วย

เธอเสียชีวิตในปี 1979 ในโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

ติ่งเหลียวซาน หรือผู้ติดตาม คุณหนูกงรั่วเหมย
ติ่งเหลียวซาน นั้นได้ต้นแบบมาจาก กงเป่าซาน ลูกพี่ลุกน้องของ กงเป่าเทียน เขาถือเป็นมือสังหารระดับสูงสุดของราชวงศ์ชิง  ยุคนั้น เขาลอบสังหาร คนระดับชั้นนำไปจำนวนมาก โดยกงเป่าเทียน เคยปล่อยเขาออกจากคุก

มีดโกน หรือ อวี้เซียนเถียน
ในหนังจะมีสายลับคนหนึ่ง ใช้เพลงมวยปาจี้ (จะภาพยนตร์จะเห้นเขาใช้ศอกเป็นหลัก) พยายามออกจากจีน ไปฮ่องกง เพื่อเปิดร้านตัดผม แต่ความจริงแล้ว เขาได้รับแรงบันดาลใจจาก หลิวหวินเฉียว  Liu Yum Qiao  เขาเกิดที่มณฑลเหอเป่ย ในหมู่บ้านที่ได้ชื่อว่าแม้แต่สตรี ก็เป็นวิทยายุทธ์ ตระกูลของเขาเป็นผู้ปกครองที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก สมัยเด็ก เขาได้รับการฝึกจากผู้คุ้มกันปู่ของเขา วิชา หมีจง

ถัดมาปู่ของเขาก็จ้าง เห ผู้เชี่ยวชาญมวยปาจี้(คราด ต่อมาจึงกลายเป็นมวยแปดปรมัตถ์  8 ท่า ) และหอก ฉายา "หอกเทวดา" มาสอน ยุคนั้น อาจารย์หลี่ ถือเป็นสุดยอดฝืมือทางเหนือแห่งยุค หลิวได้รับการฝึกจากอาจารย์หลี่ถึง 10 ปี แม้ว่าปีแรก จะฝึกแค่ท่ายืนม้า ก็ตาม แต่สุดท้าย หลิวเหวินเฉียว ก้สำเร็จปาจี้ฉวน (มวย 8 ท่า) หลังจากนั้น หลี่ก็พา หลิวไปท่องยุทธจักรอีก 5-6 ปี

เนื่อจาก หลี่ซูเหวิน รู้จักกับนายพลจาง จึงได้พาเขาไปแนะนำกับ กงเป่าเทียน (ในประวัติระบุว่า กงเป่าเทียนเชี่ยวชาญ วิชาปากัว กับวิชาตัวเบา (ชิงกง) ทำให้เขาได้พบเจอกับ กงเป่าเทียน

เมื่อเขารับราชการทหารในหน่วยสายลับ เขาเปลี่ยนชื่อเป็น เซียนจื้อเหวิน  แต่ประวัติของเขาที่สำคัญคือ มีจอมพล ซุนฉวนฟาง  ได้ไปหลบซ่อนตัวในวัด พร้อมกับคนคุ้มกันเป็นสิบ แต่เขากลับบุกเข้าไปฆ่านายพลซุนฉวนฟางได้อย่างง่ายดาย

ระหว่างสงครามญี่ปุ่น เขารับคำสั่งให้สังหารคนขายชาติ โดยเฉพาะ ถังเซ้ายี่  ที่ญี่ปุ่นแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเทียนจิน เขาก็สามารถบุกเข้าไปสังหารได้โดยง่าย แต่ระหว่างหนี เขากลับถูกทหารญี่ปุ่นจับตัว เนื่องจาก เขาแข็งแรงเกินไป ทหารญี่ปุ่นก็จับเขาเช่นนักโทษธรรมดา ระหว่างนั้น หลิวก็แหกคุกญี่ปุ่นออกมา เจอทหารชาวจีนฝ่ายตรงข้าม เขาก็ขอร้องทหารชาวจีนให้ปล่อยตัว ทหารจีนจึงยอมปล่อยตัวไป

แต่ปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์เขายึดจีน เขาต้องหนีไปไต้หวัน เขายังคงเป็นทหารต่อไป และเสียชีวิตในปี 1992 ทำให้วิชาปาจี้ฉวน เป็นวิชามวยของทหารไต้หวัน ไปโดยปริยาย

หม่าซัน
ส่วนหม่าซัน ลูกศิษย์ของกงเป่าเทียน นั้น มีตัวตนจริง เป็นลูกศิษย์ของกงเป่าเทียนจริง และนามสกุลหม่าเหมือนกัน  แต่ไม่พบประวัติว่าเป็นอย่างไร

ขอบคุณที่รับฟังครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น