วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2563

จีน(1907-1971) หลินเปียว การตายปริศนาของ จอมพลแห่งการรบแบบกองโจร

หลินเปียว 林彪 เป็น จอมพล หนึ่งในไม่กี่คนสมัยสาธารณรัฐประชาชนจีน เขาได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งระบบการรบแบบกองโจร เขารบร้อยครั้งชนะทั้งร้อยครั้ง   

ชีวิตทางการเมืองของหลินเปียว
หลินเปียว 林彪  เกิดวันที่ 5  ธันวาคม 1907  ยุคก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะถูกโค่นล้มสลาย บิดาเป็นเจ้าของที่ดินขนาดเล็กในเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย นอกจากนี้ยังมีโรงงานขนาดเล็กอีกด้วย  หลินเปียวเป็นคนรูปร่างผอมสูง ใบหน้ารูปไข่ ผิวคล้ำ ขนคิ้วดกดำ ใบหน้าค่อนข้างหล่อเหลา  เป็นคนขี้อาย เคร่งขรึม ไม่ค่อยพูดมาก สติปัญญาเฉลียวฉลาด

ชีวิตครอบครัวของหลินเปียว หลินเปียวแต่งงานกับเย่ฉวิน 叶群 มีบุตรสองคนคือ  บุตรสาวหลินลี่เหิง 林立恒  และบุตรชายชื่อ หลินลี่กั๋ว 林立果

ภายหลังที่ราชวงศ์ชิงถูกโค่นล้มสลาย  เมื่ออยู่ชั้นมัธยม เขาได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่มเยาวชนสังคมนิยม เมื่ออายุเพียง 18 ปี

ในช่วงทศวรรษที่ 20 พรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์ ยังจับมือเป็นพันธมิตรเพื่อปราบขุนศึกทางเหนือ

เมื่อสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมแล้วเขาเดินทางไปสมัครเป็นนักเรียนทหาร ที่สถาบันการทหารหวั่มปั๋ว หรือ โรงเรียนนายร้อย หวงผู่ 黃埔軍校 เมืองกว่างโจว มณฑลกว่างตง เมื่อพ.ศ. 1925 โดยมีเจียงไคเช็คเป็นครูฝึกซึ่งรับช่วงมาจาก ดร.ซุนยัดเซ็น ที่สถาบันแห่งนี้ทำให้ เขาได้รู้จักกับโจวเอินไหลอีกด้วย

เขาเรียนอยู่ได้ไม่เต็มปี ก็ได้รับคำสั่งให้ไปดำเนินการแทรกซึม  กลุ่มขุนศึกทางภาคเหนือ จนได้รับตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าหมวดกองทหาร เพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพัน

การเดินทางไกล
ในปี  1934-1935 พรรคก๊กมินตั๋ง แตกหักกับพรรคคอมมิวนิสต์  ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ต้องหนีการไล่ล่าของพรรคก๊กมินตั๋ง พวกเขาจึงต้องเดินทัพไกล (Long March)  หลินเปียวจึงแยกตัวไปอยู่ พรรคคอมมิวนิสต์ ที่มี เหมาเจ๋อตุงและจูเต๋อ และก่อตั้งกองทัพแดง ( Red Army) ในปีนี้เขาได้รับยศเป็นนายพัน  ผู้บังคับกองพันทหารกองทัพปฏิวัติแห่งชาติ ซึ่งอายุไม่ถึง ๒๐ ปีด้วยซ้ำ

การเดินทางไกล ( Long March ) ฝ่ายเจียงไคเช็คหัวหน้าพรรคก๊กมินตั๋ง พยายามขับไล่พวกนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ออกจากองค์กร เพราะกลุ่มคอมมิวนิสต์พยายามสร้างพันธมิตร เจียงซี –โซเวียตขึ้นในประเทศจีน กลุ่มชาตินิยมที่มีเหมาเจ๋อตุง เป็นผู้นำ เหมาจึงพยายามหาสถานที่เหมาะที่จะตั้งป้อมต่อสู้กับพวกก๊กมินตั๋ง กองทัพของเหมาจึงเดินทางขึ้นไปทางทิศตะวันตกและทิศเหนือ ในช่วงปี 1934-1936 การเดินทางไกล หรือลองมาร์ช มีเหมาเจ๋อตุง หลินเปียว โจวเอินไหล จูเต๋อ หลี่เซียนเหนียน เติ้งเสี่ยวผิง เหอหลง เฉินอี้ หลิวโปเฉิง เผิงเต๋อฮวย เน่ยหยงเจิน เย่เจียนอิง หยางซ่างคุน หลิวเช่าฉี ตงปี้อู่ เป็นต้น และทหารกว่าแสนคน ผู้หญิง ต่างขนสัมภาระ แบกหาม รถม้า ลา ร่วมเดินทางจาก ภาคใต้ มุ่งหน้าสู่ ภาคเหนือและภาคตะวันตก ทั้งนี้แบ่งเป็นกองทัพย่อยๆ หลินเปียวเป็นผู้นำกองทัพที่หนึ่ง ส่วนเหมาเป็นผู้นำกองทัพที่สาม ผู้เดินทางต้องเดินทางผ่านทางทุรกันดาร ผ่านเทือกเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะ ผ่านหุบเหวหนทางแคบๆ ผ่านหนองคลองบึง  โดยเดินทางวันละ 50 ไมล์ รวมระยะทาง ๑๒๕๐๐ กิโลเมตร โดยเริ่มจากมณฑลเจียงซี จนถึงมณฑล ส่านซี  เป็นเวลา 394 วัน

เขาได้รับตำแหน่งบังคับบัญชากองพลที่ 1 มีปืนไรเฟิลสองหมื่นกระบอก ด้วยเทคนิคการสู้รบอย่างชาญฉลาดของหลินกับกองทัพก๊กมินตั๋ง ปืนทั้งหมดไม่ได้รับความเสียหายหรือสูญหายแม้แต่กระบอกเดียว

ก่อนอายุ 30 ปี เขาได้รับการยอมรับการสู้รบจากกองทัพแดง เขาได้เขียนบทความทางทหารลงในวารสารกองทัพแดง ได้รับการวิจารณ์อย่างกว้างขวาง ต่อมาได้รับการนำไปตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษารัสเซียอีกด้วย  เขาได้บังคับบัญชากองทัพแดง ต่อสู้กับกองทัพก๊กมินตั๋งอยู่ถึง 2 ปี จนถึงขั้นแตกหักที่เมืองหยานอ้านในเดือนธันวาคม 1936

หลินเปียวกับเปิ้งเต๋อหวย ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญการรบในกองทัพแดง ทั้งสองสนับสนุนเหมาในการเถลิงอำนาจ แต่อย่างไรก็ตาม หลินเปียวไม่ค่อยจะพอใจในยุทธวิธีของเหมามากนัก ในช่วง”การเดินทางไกล”พวกเขาติดตามเหมาเพื่อทำกิจกรรมทางการเมือง เปิงเต๋อหวยมีอายุแก่กว่าหลินเปียว 10 ปี ทั้งสองคนต่างช่วงชิงการเป็นหัวหน้า แต่หลินไม่ได้แสดงอาการออกนอกหน้า ต่างคนต่างแสดงภารกิจในการสั่งผู้ใต้บังคับบัญชา หลินเปียวไม่มีเรื่องที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาเดือดร้อน ทุกคนเชื่อฟังเขา ผู้ใต้บังคับของเขาเชื่อฟังเขาเมื่อเขาพูดหรือสั่ง

ส่วนหลินเปียว เป็นผู้เชี่ยวชาญในยุทธวิธีการหลอกล่อ การแปลงโฉมหน้า การทำให้ข้าศึกตกตะลึง การซุ่มโจมตี การโอบตีขนาบข้าง การจู่โจมทางข้างหลัง และวิธีรุกรบแบบพลิกแพลง เล่ห์เหลี่ยมอย่างหาตัวจับยาก ซึ่งแตกต่างจากนายพลเปิ้งเต๋อหวยอย่างสิ้นเชิง

กับเหมา หลินแสดงให้เห็นว่า ตัวเขาเป็นหนึ่งในกองทัพแดงที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบแม้แต่น้อยนิด ทั้ง ๆ ที่เขาต้องรบอยู่แนวหน้าเป็นร้อยๆครั้ง ในสนามรบที่เขาต้องบังคับบัญชากว่า 10 ปี ซึ่งลูกน้องเขาเข้าใจดี จนฝ่ายตรงกันข้ามตั้งค่าหัวเขาถึง หนึ่งแสนเหรียญสหรัฐ  เขาก็ยังปกติดี ไม่ได้รับบาดเจ็บและสุขภาพแข็งแรงดีด้วย

หลินเปียวผ่านทั้งสมรภูมิ จีนกับญี่ปุ่น  แม้ว่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาไปเคลื่อนไหวแถวแมนจูเรียและสามารถปลดปล่อยแมนจูเรียได้สำเร็จ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่นานเขาก็กลับมารับหน้าที่นายพลเพื่อก่อสงครามกลางเมืองกับ ก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็กต่อ สงครามครั้งนี้ เขาสามารถชนะทุกสมรภูมิที่กองทัพของเขาเดินทางผ่าน  ต่อมา เขายังนำทัพไปรบศึกสงครามเกาหลี และขึ้นเป็นจอมพล ในปี 1955

การปฎิรูปแบบก้าวกระโดดจนถึงปฎิวัติวัฒนธรรม
หลังความล้มเหลวของการพัฒนาประเทศแบบ ก้าวกระโดด ที่ต้องการเปลี่ยนจีนเป็นประเทศ อุตสาหกรรม อย่างรวดเร็ว แต่กลับล้มเหลวอย่างไม่เป็นทา ประชาชนกว่า 40 ล้านคนต้องอดอยาก ทำให้ความนิยมในตัวเหมาเจ๋อตุงนั้นถดถอย เหมาเจ๋อตุงเริ่มถุกต่อต้านจากคนรอบข้าง  จนเมษายน 1959 เหมาเจ่อตุง โดนปลดลงจากตำแหน่ง ประธานธิบดี และให้ หลิวเช่าฉี ขึ้นเป็นประธานธิบดีแทน

แต่ช่วงครี่งแรกของทศวรรษ 1960 กองทัพปลดปล่อยประชาชนได้พยายาม กระจาย สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง (毛泽东著作选读) และ คติพจน์ประธานเหมา (毛主席语录) แจกจ่ายไปทั่วประเทศหลายร้อยล้านเล่ม  จนทำให้ เหมาเจ๋อตุง มีความมั่นใจในฐานสนับสนุนทางการเมืองและพร้อมที่จะประกาศ "การปฏิวัติวัฒนธรรม" ขึ้นใน ค.ศ. 1966 ผ่านภรรยาเขา คือ เจียชิง ที่สร้าง โฆษณาชวนเชื่อไปทั่วประเทศ และเพื่อรักษาอำนาจของตัวเขาเอง โดยอ้างผ่าน ขบวนการปฎิรุปวัตนธรรม

หลิวเส้าฉีตายปริศนาคนแรก
ในการปฏิวัติวัฒนธรรม วันที่ 5 สิงหาคม 1966 ประธานเหมา เขียนหนังสือพิมพ์กำแพง หัวข้อ "ถล่มกองบัญชาการ"  ที่พุ่งเป้าไปที่ หลิวเส้าฉี และเติ้งเสี่ยวผิง ขณะที่เติ้งเสี่ยวผิงนั้นถูกปลดทุกตำแหน่ง และต้องไปทำงานในโรงงานรถแทรกเตอร์ในมณฑลซ่านซี 

เมษายนปี 1967 กลุ่มเยาวชน เรดการ์ดบุกไป ทำเนียบจงไห่หนาน ลากตัว หลิวเส้าฉี ประธานธิบดี ไปวิจารณ์ตนเอง และโยนเข้าคุกขังเดี่ยวที่เรือนจำปักกิ่ง ฐานเป็นปฎิปักษ์กับเหมาเจ๋อตุง ต่อมาถูกย้ายไปขังคุกที่ เมืองไคเฟิง และจบชีวิตในวันที่ 12 พฤศจิกายน 1969  อย่างไรก็ดี ในวันนั้นเอง ก็มีการเผาศพของเขาอย่างลับๆ ด้วยความเร่งด่วนและระบุสาเหตุการตายเพียงว่า หลิวเส้าฉี เป็นโรคติดต่อร้ายแรง

หลินเปียว
ย้อนกลับมา เมษายน 1969 นายพลหลิวเช่าฉีถูกปลดจากตำแหน่ง หลินเปียวจึงได้รับอำนาจทางทหารทั้งหมด และเป็นทายาททางการเมือง ต่อจากประธานเหมา

การประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ ในวันที่ 1 เมษายน ปี 1969 หลิวเปียว ถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในอำนาจสูงสุด ต่อจากเหมา ในขณะที่หลิวเช่าฉี ถูกโค่น และ โจวเอินไหลถูกลดบทบาทลง ในที่ประชุมสมัชชา หลินเปียวยังคงกล่าวสดุดีเหมาและสนับสนุนการใช้กองกำลังอาวุธ ประณาม หลิวเช่าฉี เป็นพวกต่อต้านการปฏิวัติ แก้ไขธรรมนูญ ให้ตนเองเป็นผู้สืบทอดอำนาจของเหมาในอนาคต หลังจากนั้น ชื่อของ หลิวเปียวกับเหมาเจ๋อตง มักจะปรากฏคู่กันเสมอ ในที่ต่าง ๆ ในการคัดเลือกผู้นำพรรคในครั้งใหม่ ได้คัดเลือก เหมาเจ๋อตง หลิวเปียว โจวเอินไหล และ คังเซิน เป็นสมาชิกถาวรคณะกรรมการกลางพรรค ทั้งสี่คนเป็นการได้รักษาตำแหน่งตนเองจาก ผลพวงของการปฏิวัติวัฒนธรรม

หลิวเปียว เรียกร้องให้แต่งตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีที่ว่างอยู่ ตอนนั้น ซ่งชิงหลิง ภรรยาของซุนยัดเซ็นนั่งเป็นตัวแทนอยู่  ถึงตอนนี้ เหมาเจ๋อตุง รับรู้ถึง ความทะเยอทะยานของหลิวเปียวที่จะขจัดเหมาเจ่อตุง ออกจากอำนาจ และ “ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด คือ สหายที่อยู่ข้างกาย” เพราะการที่หลินเปียวขอตำแหน่งรองประธานก็เพื่อให้เขามีความชอบธรรมที่จะได้ขึ้นเป็นประธานที่ยังว่าง  เมื่อเหมาถึงแก่อสัญกรรมแล้ว

ในเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1969 ประธานเหมาได้เดินทางไปภาคใต้เพื่อพูดคุยกับผู้สนับสนุนพรรค จากสุนทรพจน์ของเหมาตอนหนึ่งว่า เขาไม่สบายใจเกี่ยวกับความขัดแย้งของ หลินเปียว กับ มาดามเจียงชิงภรรยาของเหมา ที่ลู่ซานในปี 1969 เหมาคิดว่า หลินเปียวจะไม่ฟังเขาอีกต่อไป และคอยจะโต้แย้งตลอดแต่ข่าวอีกด้านระบุว่า หลินเปียวกำลังวางแผนที่จะยึดอำนาจทำรัฐประหาร

เมื่อแผนการล้มเหลว หลินเปียวจึงคิดจะยึดอำนาจด้วยการใช้กำลัง เนื่องจากอำนาจในพรรคของเขานับว่ายิ่งน้อยลง ๆ หลินเปียวได้ร่วมกับลูกชาย หลินลิกั่ว และคนสนิทใกล้ชิดก่อการในเซี่ยงไฮ้ โดยวางแผนใช้กองทัพอากาศทิ้งระเบิดปูพรม เมื่อยึดอำนาจสำเร็จก็จัดการจับกุมพวกฝ่ายตรงข้ามและเขาก็ก้าวสู่อำนาจสูงสุด ดังที่เขาได้กล่าวในเอกสารชื่อ “อู่ชิยี่กงเฉินจี้ย่าว” ไว้ว่า “การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจครั้งใหม่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถยึดอำนาจการนำปฏิวัติสำเร็จ อำนาจก็จะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น”

เมื่อการยึดอำนาจไม่สำเร็จ ข่าวลือเกี่ยวกับการลอบสังหารเหมาเกิดขึ้นมาไม่ขาดระยะ ลือกันตั้งแต่เหมาการลอบสังหารเหมาบนขบวนรถไฟในปักกิ่ง การบุกเข้าไปลอบสังหารถึงที่พัก โดยคนใกล้ชิดของหลินเปียว หลังวันที่ 11 กันยายน หลินเปียว ก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นในที่สาธารณะอีก ในขณะที่ผู้ใกล้ชิดของหลินเปียวที่หนีไปทางฮ่องกง ส่วนที่เหลือถูกจับกุมทั้งหมด

ภายในวันที่ 13 กันยายน หลินเปียวขึ้นเครื่องบินเตรียมหนีไปสหภาพโซเวียต แต่เครื่องบินไปตกในมองโกเลียใน ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต ในวันเดียวกันทางปักกิ่งเรียกประชุมด่วนเกี่ยวกับเรื่องของหลินเปียว ถึงวันที่ 14 กันยายน ข่าวหลินเปียวเสียชีวิตจากเครื่องบินตกจึงทราบถึงรัฐบาลที่ปักกิ่ง ในวันที่ 1 ตุลาคม 1971 ทางการจีนประกาศงดจัดฉลองวันชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เพราะเกรงว่ากองทัพที่ภักดีต่อ หลินเปียว จะก่อการยึดอำนาจ เนื่องจากจะมีการขนอาวุธสงครามเข้ามาฉลองในปักกิ่ง และสืบสวนสอบสวนขบวนการยึดอำนาจด้วยการใช้กำลังของหลินเปียว

วาระสุดท้ายของชีวิต ที่ยังคลุมเครือ
ย้อนกลับมา บันทึกระบุว่า วันที่ 12 กันยายน 1971 โจวเอินไหล พบเอกสารลับ ตรีศูล 256  กลางดึกคืนนั้น หลินเปียวจึงรีบพาลูกชาย คือ หลินลี่กั่ว (林立果) กับภรรยา  เย่หวิน (叶群)  ตรงไปสนามบิน ซานไห่กวน เพื่อลี้ภัยไปสหภาพโซเวียต

แต่เครื่องบินได้บินไปถึงชายแดนมองโกเลียนอกกับรัสเซีย ปรากฏว่าน้ำมันหมด เครื่องบินตกใกล้เมือง อุนตุรข่าน (Undur Khan) พรมแดนมองโกเลียนอก ทั้งสามคนเสียชีวิตหมด ในวันที่ 13 กันยายน 1971

แต่ข่าวนี้ถูกปิดเงียบ อีกหนึ่งปีถัดมาจึงได้ประกาศให้ประชาชนได้รับรู้   ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขา ถูกกวาดล้างจนหมด และไม่มีสื่อใดๆ กล้าเอ่ยถึงชื่อของ หลินเปียว อีก

เอกสารทางการของจีนระบุว่า หลินเปียวเลิกโครงการ 571 (โครงการก่อรัฐประหารเหมาเจ๋อตุง ด้วยการระเบิดรถไฟของเหมาเจ๋อตุง ระหว่างแล่นจากหางโจวไปเซี่ยงไฮ้)  เมื่อแผนลอบสังหารล้มเหลวพวเขาจึงพยายามหลบหนีไปสหภาพโซเวียต แต่นายทหารคนสนิทของหลินเปียวกลับถูกจับกุม และในปี 1973 คนที่สนับสนุน หลินเปียว ถูกปลดออกจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งหมด

หลังการอสัญกรรมของเหมาเจ๋อตุง ในปี 1976 เติ้งเสี่ยวผิง  (邓小平) สั่งให้มีการชำระคดีที่เกิดขึ้นในยุคปฎิวัติวัฒนธรรม ศาลพิพากษาคดีของหลินเปียว พร้อมกับ แก๊งสี่คน ยืนยันความผิดของหลินเปียว เย่ฉิน แะหลินลี่กั่ว ในการวางแผนก่อรัฐประหาร แต่ข้อกล่าวหานี้ กลับแปลกออกไป เพราะกฎหมายอาญาฉบับนี้ประกาศใช้เมื่อ 1 มกราคม 1980 จึงเป็นการใช้กฎหมายอาญาย้อนหลัง ขัดกับหลักยุติธรรมสากล นอกจากนี้ หากผู้ถูกกล่าวหา ไม่ตอบคำถาม หรือ ตอบไม่ครงคำถาม ก็ถือว่า ผู้ต้องหารับสารภาพ นั่นคือ กฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

หรือ คือวางแผนสังหาร
หนังสือชื่อ Conspiracy and Death of Mao'Heir ระบุว่า หลิวเปียวไม่ได้เสียชีวิตจากเครื่องบินตก แต่ถูกเหมาเจ๋อตุง และโจวเอินไหล วางแผนสังหาร ด้วยจรวด

นั่นคือ ค่ำคืนนั้น เหมาเจ๋อตุง ได้เชิญ หลินเปียว ไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านพักเชิงเขา หลังจากเสร็จพิธี พูดจาล่ำลากันแล้ว หลินเปียว ภรรยา และขบวนรถผู้ติดตาม ลงจากบ้านพักของเหมาประมาณ 1 ไมล์ เขาก็ถูกทหารซุ่มรออยู่โจมตีด้วยจรวด  จนเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนลูกชาย เมื่อได้ทราบข่าว พ่อโดนยิงตาย เขาก็รีบหนีขึ้นเครื่องบิน แต่โดนจรวดยิงที่ชายแดนก่อนที่จะไปโซเวียตสำเร็จ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น