วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 18 ราชสีห์ขนสีฟ้า

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 18 ราชสีห์ขนสีฟ้า

ราชสีห์ขนสีฟ้า (獅猁怪 หรือ 青毛獅子) แท้จริงเป็นสิงโตพาหนะ ของ พระโพธิสัตว์บุ่งซู้ (พระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา) เขาขับไล่พระราชาแห่งเมือง โอเกยก๊ก (烏雞國)) แล้วแอบอ้างปลอมตัวเป็น พระราชาอยู่นาน 3 ปี วิญญาณของพระราชาก็ปรากฎในฝันของพระถัง และขอให้พระถังช่วยเหลือ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายเลยช่วยดึงศพขึ้นมาจากบ่อนำ้ และใช้ยาวิเศษของ พรหมไท้เสียงเหล่งกง เพื่อนำชีวิตของพระราชากลับคืนมา และเปิดเผยความจริง แต่ปีศาจกลับแปลงกลายเป็นพระถัง ทำให้มีพระถัง 2 คน เห้งเจียออกอุบายว่า ใครเป็นตัวจริงจะต้องร่ายมนตร์บีบศีรษะของเห้งเจียได้ เมื่อตัวปลอมทำไม่ได้ เห้งเจียก็เงื้อกระบองจะฟาด แต่พระโพธิสัตว์ มัญชุศรี ก็ปรากฎตัวขึ้น แล้วเล่าว่า แท้จริงแล้วเป็นสิงโตพาหนะของพระองค์เอง ที่พระองค์ส่งมาเพื่อลงโทษ พระราชา ครั้งนี้จึงขอให้แล้วต่อกันไป แล้วคณะก็เดินทางต่อไป

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
พระถังและสานุศิษย์เดินมาถึงอารามขนาดใหญ่ พระถึงจึงขอเข้าไปค้าง 1 คืน ได้ขอพักค้างที่พระอารามหลวงชื่อ โป๊ลิ้มยี่ เจ้าอาวาสเป็นคนถือตน และไม่ยินดีต้อนรับพระพเนจร เพราะเคยมีพระสงฆ์มาขอพักอาศัยแต่พวกเขาอยู่นานถึง 7-8 ปี และก่อเรื่องร้ายๆ ไว้ 

เจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า “อารามเล็กๆ ของเรา ไม่อาจต้อนรับท่านเป็นอย่างดีได้ รบกวนพวกคุณไปหาที่ีอื่นอาศัยค้างคืนเถอะ” เห้งเจียได้ยินก็ข่มขู่กลับทันที “ถ้าพวกท่านไม่สะดวก พวกท่านต่างหากที่ต้องไปหาอื่นอาศัยหลับนอน” เมื่อพูดจบ เจ้าอาวาสจึงยินยอมให้พักอาศัย

ตกดึก วิญญาณของกษัตริย์เมืองใกล้ๆ ก็มาเข้าฝัน พระถัง และเล่าเรื่องให้ฟังถึง เหตุการณ์เมืองโอเกยก๊ก เมื่อ 5 ปีก่อน ฝนฟ้าแล้งจัด จนประชาชนระส่ำระสาย นักพรตช่วนจินเต้าหยิน ได้ทำพิธีเรียกฝนให้ตกลงมาห่าใหญ่ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโอเกยก๊ก ครั้นได้โอกาส ช่วนจินเต้าหยิน ก็ลอบปลงพระชนม์พระราชาเสีย โดยผลักลงบ่อแปดเหลี่ยม เอาแท่นหินปิดไว้ แล้วช่วนจินก็แปลงกายสวมรอยเป็นกษัตริย์แทน โดยที่ไม่มีใครรู้ ไทจื้อรัชทายาทก็ไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นเวลา 3 ปีแล้ว จึงมาฝากพระถังให้ช่วยไปบอก ลูกชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมอบตราประทับหยกขาวประจำพระองค์ให้เป็นหลักฐาน ยืนยันเรื่องนี้กับ รัชทายาท

ตื่นเช้ามา พระถังจึงเล่าเรื่องให้เห้งเจียฟัง เห้งเจีย จึงไปเข้าพบ ไทจื้อรัชทายาท เพื่อเล่าความจริงให้ฟังว่าพระราชาองค์ปัจจุบันเป็นพระราชาปลอม ไทจื้อรัชทายาทไม่เชื่อ เพราะปกครองบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างดี เห้งเจียจึงแสดงตราประทับหยกขาวให้ดู และท้าให้ ไทจื้อไปสอบถาม ฮองเฮา พระมารดาว่ารสสัมผัสของพระราชาเปลี่ยนแปลงไปจาก 3 ปีที่แล้วหรือไม่ 

ฝ่ายไทจื้อรัชทายาท จึงไปกราบทูลถามพระมารดาถึงความนัยนั้น ฮองเฮาก็เล่าความจริงว่าพระราชาเปลี่ยนไป 3 ปีแล้ว เขาเคยเป็นคนอ่อนโยน หลงไหล แต่ปัจจุบัน เขากลับบอกว่า อายุเยอะแล้ว และขอให้เลิกเซ้าซี้เสมอ ไทจื้อรัชทายาท จึงเชื่อว่าเป็นช่วนจินปลอมตัวมาจริงๆ ก็นำความนั้นมาบอก เห้งเจีย

ฝ่ายซากพระศพของพระราชานั้น ได้จมลงถึงบาดาล พญาฮั้ยเล่งอ๋อง ได้เก็บรักษาไว้มิให้เน่าเปื่อย เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ชวนกันไปที่บ่อแปดเหลี่ยม ด้วยฤทธิ์ตะบองของเห้งเจีย โป้ยก่ายก็ลงไปในบ่อน้ำ ดำลงไปถึงบาดาล จนพบพญาฮั้ยเล่งอ๋องสหายเก่า แล้วแบกซากศพของพระเจ้าโอเกยก๊กขึ้นมา เห้งเจียเหาะนำหน้าศพมาที่อาราม แล้วตีลังกาขึ้นสู่พรหมโลกไปหา พรหมไท้เสียงเหล่ากุงขอยาชุบชีวิต เมื่อได้แล้วก็ลงมาชุบชีวิตพระราชาให้ฟื้นขึ้นมา แล้วถอดเครื่องทรงกษัตริย์ออกฝากไว้ในอาราม ให้นุ่งขาวห่มขาวแทน 

รุ่งเช้า ทั้งหมดก็เข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียเข้าต่อสู้กับปีศาจ ปีศาจสู้ไม่ได้ และเห็นท่าไม่ดี ปีศาจจึงแปลงร่างเป็นพระถังอีกองค์หนึ่ง เห้งเจียไม่สามารถแยกได้ จึงออกอุบายบอกให้พระถังร่ายคาถาบีบขมับ หากองค์ไหนร่ายคาถาแล้วเห้งเจียปวดหัว องค์นั้นคือองค์จริง เมื่อปีศาจรู้ตัวว่า จะโดนจับได้ ก็รีบกระโดดขึ้นไปบนฟ้า เมื่อห้งเจียเหาะตามไป กำลังจะเง้อกระบองตี ก็มีเสียงดังว่า “อย่าตีเขาเลย เห้งเจีย” เห้งเจียหันกลับมา เห็นพระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์ จึงบอกว่า ปีศาจตนนี้ เป็น สิงโตขนฟ้า ใต้บังลังค์ข้าเอง ถูกส่งมาโดยคำสั่งของพระพุทธเจ้า เนื่องจาก กษัตริย์ ของ วูจิ เป็นคนดี มีโอกาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงส่งข้ามาเพื่อมาโปรดกษัตริย์ และนำพาไปไซที โดยข้าแปลงกายมาเป็นพระภิกษุ ธรรมดา และขออาหารเจกับเขา และกษัตริย์ก็ไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ เขาจึงจับข้ามัดและไปทิ้งในบ่อน้ำ 3 วัน โชคดีพระอรหันต์ได้มาช่วยข้าไว้ และพาข้ากลับไซที ข้าจึงไปรายงานพระคถาคต ท่านจึงสั่งลงโทษกษัตริย์ ให้จมน้ำเป็นเวลา 3 ปีไถ่โทษ เมื่อ เห้งเจีย มาแก้ไขให้แล้ว ก็ถือว่าสิ้นเวรต่อกัน เมื่อท่านสามารถปราบสิงโตได้ นั่นหมายความว่า ท่านได้คาถาวิเศษติดตัวแล้ว



ปริศนาธรรม
ตอนนี้จะมี 2 ประเด็นคือ
1.
ตามสำนวนคนจีน คือ ย้ายเมืองนั้นยังง่ายกว่า เปลี่ยนธรรมชาติ (ของคน) นั่นคือ แม้ว่า ราชสีห์ขนฟ้า จะแปลงกายเป็นพระราชา แต่นิสัย (สันดาน) ต่างๆ ก็ยากที่จะเปลี่ยนได้ นั่นคือ นิสัยของคนเรานั้น เปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเปลี่ยนแปลงเมืองอีก ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการเปลี่ยนนิสัยต่างๆ ของคนเรา

2.
โดยตอนนี้ ถือเป็นตอนต่อจากเรื่อง นิวรณ์ 6 นั่นคือ เรื่องของ อวิชชา นั่นคือ ราชสีห์ขนสีฟ้า แปลงมาเป็นนักพรตลัทธิเต๋า (ลัทธิเต๋านั้นมีความพยายามจะกลืนเข้ากับศาสนาพุทธ โดยจะอธิบายเรื่องนี้ในตอนถัดๆ ไป) นักพรตตนนี้พยายามทำพิธีเพื่อแสดง อิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ในการเรียกลมเรียกฝน

(
ราชสีห์ขนสีฟ้านั้นเป็นพาหนะ ของ พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ที่ถือว่า เด่นด้านปัญญา โดยเฉพาะ เคยโพธิสัตว์มัญชุศรีนี้เคยเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ นอกจากนี้ พระพุทธเจ้า ยังเคยกล่าวว่า ท่านตรัสรู้ได้ก็ด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีด้วย นั่นคือ ถือว่า เป็นพระโพธิสัตว์ที่เด่นด้านปัญญาอย่างมาก )

นั่นคือ ราชสีห์ขนสีฟ้า ต่อมาแปลงเป็นพระถังซำจั๋ง (ชื่อ ซำจั๋ง นั่้นแปลว่า พระธรรม ไตรปิฎก) ความหมายคือ อะไรคือ พระธรรมแท้? อะไรคือพระธรรมเทียม? มันเป็นเรื่องยากที่จะแยกกันออก นั่นคือ ลัทธิเต๋า พยายามที่จะกลมกลืนกับศาสนาพุทธจนคนทั่วไปแยกไม่ออก แม้แต่เห้งเจีย (ปัญญา) ก็ยังไม่สามารถแยกออกได้ เช่นเรื่อง พิธีกรรม หยินหยาง โหวเฮ้ง ฮวงจุ้ย หรือแม้แต่เทพต่างๆ ในลัทธิเต๋า ต้องให้ตัวพระธรรม(พระถังซำจั๋ง) เป็นคนแยกเอง

เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่จะมีฤาษี นักพรต ในศาสนาพราหณ์ ที่พยายามกลมกลืนกันศาสนาพุทธ เช่นพิธีกรรมต่างๆ เช่นพิธีลอยกระทง พิธีแช่งน้ำ พระราชจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีโล้ชิงช้า หรือ เรื่องเทพต่างๆ เช่น พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ซึ่งคนไทยหลายคนยังแยกไม่ออกว่า พุทธหรือพราหมณ์ เช่นกัน

อีกประเด็นที่ชาวจีนมักจะถกเถียงกันในตอนนี้ก็คือ ทำไมผู้แต่งถึงให้ พระโพธิสัตว์ มัญชุศรี ถูกจับถึง 3 วัน ก่อนที่จะหลุดออกมาได้ ทั้งๆที่ เป็นคนธรรมดา เชือกธรรมดาเท่านั้น ซึ่งคนจีนหลายคนมองว่า เป็นจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้ (มีหลายจุดที่จับผิดกันมา)

ในขณะที่หนังสือของ อาจารย์เขมานันทะ นั้นตีความว่า เป็นตอน อรติ นั่นคือ หลังจากนิวรณ์ 5 แล้ว ก็มีอรติ

อรติ คืออะไร
อรติ แปลว่า ความไม่ยินดี, ความไม่พอใจ โดยไปในทางลบ นั่นคือ แม้จะไม่ยินดี แต่ก็ไม่พอใจ อรติจะแตกต่างจาก อุเบกขา คือ การวางเฉย แบบเป็นกลาง

โดยมองว่า หลังจาก การละนิวรณ์ 5 แล้ว ชีวิตดูเหมือนจะเป็นอุเบกขา แต่ความจริงมันอาจเป็น อรติ ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน โดยมองว่า พระราชาที่เปลี่ยนไป นั่นคือ อุเบกขาที่กลายไปเป็น อรติ ที่แม้จะคล้ายกันแต่พระมเหสีก็แยกออก

นอกจากนี้ การที่ราชสีห์ขนสีฟ้า(อรติ) แปลงเป็นพระถัง (ขันติ) นั่นก็ยากที่แยกกันออก คือ ความไม่ยินดี กับขันติ นั้น ดูภายนอกจะเหมือนกัน เมื่อเจอกับพระธรรม ขันตินั้นชอบ แต่ อรติ นั้นย่อมอยู่ไมไ่ด้

โดยสรุป คือ ละนิวรณ์ 5 ได้ จะต้องใช้ศรัทธาอย่างมาก ทำให้เหมือนซากศพ การจะฟื้นจากซากศพได้ ต้องอาศัยความสุขที่ปราณีต (ยาวิเศษ) เพื่อสร้างจิตที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น