องค์หญิงตงเจิน องค์หญิงจารชน
องค์หญิงแห่งราชวงศ์ชิง ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู๋อี้ จักรพรรดิองค์สุดท้าย ถูกส่งตัวให้เป็นลูกบุญธรรมคนญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก ต่อมากลายเป็นสายลับ กลับมาบ่อนทำลายชาติจีน บทสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด ถูกประหารยิงเป้า ข้อหาทรยศชาติ แต่เธอกลับรอดมาได้อย่างปาฎิหารย์
"ถ้าฉันพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นพลเมืองญี่ปุ่น ฉันจะไม่ถูกประหารด้วยน้ำมือชาวจีน" นี่คือคำพูดสุดท้ายของพระองค์ก่อนถูกตัดสินประหารชีวิต
เนื้อเรื่อวัยเด็ก
องค์หญิงเสียนหวี หรือ เซียนหยู่ ประสูติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1906 มีพระนามเดิมภาษาแมนจูชื่อว่า"อ้ายซินเจว๋หลัว เสียนหวี"爱新觉罗.显玙 มีพระนามภาษาจีนว่า"จินปี้ฮุย" 金壁辉หรือเรียกกันง่ายๆว่า "ตงเจิน" ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ 14 ของเจ้าชายซู่ชินอ๋วง(肃亲王)ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นชินหวางอัน นับว่าเป็นบรรดาศักดิ์สูงที่สุด
ภาพเจ้าชาย ซ่านฉี พ่อขององค์หญิงเสวียนหวี หรือ ตงเจิน
ต่อมาเจ้าชายซู่ชินอ๋วง หรือซ่านฉี ได้ประทานพระองค์หญิงให้เป็นบุตรบุญธรรมของ Naniwa Kawashima (นินาวะ คาวาชิมะ) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพระองค์ ชายผู้นี้มีบทบาทในกองทัพญี่ปุ่น ที่เจ้าชายซู่ประทานพระธิดาให้เพราะหวังว่าจะเป็นสะพานใช้ในการหาความช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ชิง
ยุคนั้น จีนเพิ่งโดนเผาพระราชวังฤดูร้อน ในปี ค.ศ. 1900 จาก
เหตุการณ์กบฎนักมวย จากพันธมิตร 9 ชาติ และมีข่าวลือตอนนั้นว่า กองทัพพันธมิตรกำลังมุ่งหน้าไปเผาเพื่อหวังขโมยสมบัติที่วังต้องห้าม แต่ญี่ปุ่นนั้นช่วยเจรจา ทำให้ราชวงศ์ชิงนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นที่ช่วยเจรจาครั้งนั้น ก็คือ พ่อบุญธรรมขององค์หญิงเสวียนหวี นี่เองทำให้ เจ้าชายซ่ายฉี มีความสนิทสนมกับ นานิวะ คาวาชิมะ
ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1911 นั้น ประเทศจีนเกิดปฎิวัติซินไฮ่ และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 ราชวงศ์ชิงก็ถึงคราวล่มสลาย แม่ของจักรพรรดิผู่อี้) ได้ประกาศสละราชสมบัติ ตอนนี้ ราชวงศ์ชิงกำลังตกต่ำ
ภาพสมัย มัธยมของเธอ
ในปี ค.ศ.1914 ตอนนั้นองค์หญิงมีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น เธอถูกส่งตัวไปญี่ปุ่น บิดาบุญธรรมขององค์หญิงได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Yoshiko Kawashima (โยชิโกะ คาวาชิมะ) ตลอดเวลาที่เติบโตในญี่ปุ่น พระองค์ได้รับการอบรมแบบญี่ปุ่น เรียนหนังสือในโรงเรียนสตรีชั้นนำของญี่ปุ่น พระองค์ไม่ได้ถูกอบรมเพียงคุณสมบัติกุลสตรีเท่านั้นแต่ยังได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการฝึกฝนอย่างหนักเยี่ยงทหาร ทั้งยิงปืนและขี่ม้า รวมถึงการต่อสู้ชนิดต่างๆ จากบิดาบุญธรรม
มีหลักฐานรูปถ่ายใบหนึ่งในบ้านของนานิวะ ที่ระบุว่า โยชิโกะ ตัวเล็กใส่ชุดกิโมโน ยืนอยู่ท่ามกลางผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมาก ขณะกำลังประชุมแผนการขยายอำนาจไปประเทศจีน โดยหลายคนในภาพต่อมากลายเป็นอาชญกรสงคราม
เ
รื่องราววัยรุ่น
บิดาบุญธรรมได้ข่มขืนองค์หญิงเมื่อองค์หญิงมีอายุเพียง 18 ขวบ ซึ่งเรื่องที่เลวร้ายนี้ พระองค์ได้บันทึกไว้ว่า"ฉันได้สูญเสียความเป็นหญิงไปตลอดกาล" เช้าวันรุ่งขึ้น องค์หญิงทรงแต่งผมทรงญี่ปุ่น สวมกิโมโนอันงดงาม เพื่อถ่ายภาพอำลา ความเป็นผู้หญิงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทรงปลงผมสั้นแต่งองค์เหมือนบุรุษ และทรงทำทุกอย่างที่บุรุษทำ พร้อมประกาศก้องว่าพระองค์ได้ “หลุดพ้นจากความเป็นหญิงแล้ว”
ภาพถ่ายคู่กับพ่อบุญธรรม และเธอตัดผมสั้นเป็นชายแล้ว
ไม่นานจากเหตุการณ์นั้น องค์หญิงเสียนหวี ได้พบรักกับนายทหารชาวญี่ปุ่น ชื่อ “ยามางะ” แต่เธอก็เป็นเพียงของเล่นสำหรับ “ยามางะ” เท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้องค์หญิงถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
ภาพงานแต่งงานของตงเจิน กับ เจ้าชายมองโกเลีย
ในปี ค.ศ.1927 พ่อแท้ๆ ของเธอได้ยกเธอให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายมองโกเลีย นามว่า"กันจูเออร์จาปู้"หรือ"กันจูเออจาบ" ซึ่งเป็นบุตรของนายพลปาปู้จาปู้ ท่านนายพลผู้นี้เป็นผู้นำในขบวนการแบ่งแยกดินแดนมองโกลให้เป็นอิสระ พระบิดาแท้ๆขององค์หญิงเสียนหวีสนิทสนมกับครอบครัวนี้อย่างมาก โดยมีข่าวว่า ซ่านฉีนั้นได้สาบานเป็นพี่น้องกับนายพลปาปู้จาปู้เลยทีเดียว และซานฉีก็เป็นผู้ส่งจูเออร์จาปู้ไปเรียนต่อด้านวิชาทหารที่ญี่ปุ่น
แต่แล้วในปี ค.ศ. 1931 เธอได้หนีจากดินแดนอันหนาวเหน็บ เธอยอมพลีกายเพื่อเปิดทางให้เธอหนีออกมาจากดินแดนที่แสนห่างไกลนั้นได้ โดยเดินทางไปพร้อมกับรถขนส่งสินค้าคันหนึ่งมุ่งหน้าสู่ท่าเรือพอร์ตอาเธอร์ ที่จะมีเรือโดยสารไปยังโตเกียว เธอยอมแบ่งทรัพย์สินที่เธอลักมาจากสามีผู้เป็นเจ้าชายมองโกเลียเป็นค่าโดยสารที่แสนแพง และบนเรือโดยสารนั้นเอง เธอได้รู้จักกับ “มาดามฮิดาริ” สตรีหม้ายนักธุรกิจไฮโซจากประเทศญี่ปุ่น เธอกลายเป็นเพื่อนกับ “ฮิดาริ” เธอได้แบ่งบ้านหลังหนึ่งให้กับองค์หญิงเป็นแหล่งพักพิงในกรุงโตเกียว และคอยส่งผู้ชายที่ร่ำรวยมาให้เธอเป็นประจำ
ต่อมาเธอก็กลับมาที่เมืองจีนโดยไปอยู่ที่เชี่ยงไฮ้ เธอใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ก้าวขึ้นมาเป็นสาวไฮโซแสนสวยเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่มและแก่มากหน้าหลายตา
เข้าสู่งานจารชน
และแล้วชีวิตเธอก็เริ่มเข้าสู่ด้านมืด เมื่อเธอได้พบกับ ริวคิชิ ทานากะ (Ryukichi Tanaka) ทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น เธอมอบความรักให้กับเขา แต่สิ่งที่เธอได้รับจาก “ทานะกะ” คือการชักชวนเข้ามาเป็นสายลับให้กับญี่ปุ่น และถูก “พันเอกโดอิฮาระ” ผู้เป็นหัวหน้าของ “ทานะกะ” เรียกตัวให้ไปรายงานตัวที่เมืองเทียนจิน เป็นเมืองที่พำนักของ “จักรพรรดิผู๋อี้” หลังจากถูกพรรคก๊กมินตั๋งยึดครองประเทศ
ในเวลาเดียวกันทางญี่ปุ่นได้อาศัยความสัมพันธ์ของพระองค์กับเหล่าเชื้อพระวงศ์แมนจูและเจ้านายชาวมองโกลในการสร้างรัฐ แมนจูกัว นายพลโตอิฮาระ ได้ส่งเธอเป็นสายลับเข้าไปอยู่ในบ้านพักของ “จักรพรรดิผู๋อี้” อดีตพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง แน่อนนว่า ผู๋อี้นั้นทรงเมตตากับองค์หญิงมาก เพราะเธอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับผู๋อี้ การที่ผู๋อี้ยอมไปเป็นจักพรรดิหุ่นเชิดของรัฐแมนจูกัวที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะการเกลี้ยกล่อมขององค์หญิงเสี่ยนหวี
แต่ประเด็นสำคัญคือ
หวั่นหรง ที่ไม่ชอบญี่ปุ่น และไม่ยอมไปอยู่กับสามีที่แมนจูกัว ทำให้เธอต้องเข้าตีสนิทกับ
หวั่นหรง ในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่ปรับทุกข์ของกันและกัน และมักสูบฝิ่นด้วยกัน เมื่อ หวั่นหรงยอมย้ายไปอยู่แมนจูกัว เธอก็สำเร็จภารกิจชิ้นแรก และทำให้เธอได้รับตำแหน่ง พันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น ทันที
ตอนนี้ ภารกิจใหม่ของเธอ คือ ก่อกวนชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยเธอว่าจ้างนักเลงหัวไม้ ให้ปล้น และทุบตีชาวญี่ปุ่นเป็นหลัก และเหตุการณ์เผาโรงงานคนญี่ปุ่นก็เป็นเหตุจุดฉนวนสำคัญ ทำให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถอ้างเหตุผลในการเข้าโจมตีเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้เมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองอยู่ในกองเพลิง ทั้งเมืองเสียหายยับเยิน ภารกิจของเธอสำเร็จอีกครั้ง
ต่อมา เธอย้ายไปอยู่ที่เมืองแมนจูกัว และรับตำแหน่ง นายพลหญิงแห่งแมนจูกัว ที่นั่นเธอได้พบ ผู๋อี้และหวั่นหรงอีกครั้ง เธอก้าวเข้ามามีบทบาทในแมนจูกัวอย่างมาก ทั้งออกวิทยุและถึงขั้นร้องเพลงและบันทึกแผ่นเสียง แต่องค์หญิงไม่ได้มีความสามารถแค่นั้น พระองค์มีความสามารถถึงขนาดร่วมรบไปกับกองทัพของแมนจูกัว โดยเฉพาะครั้งสงครามแม่น้ำเร่อ โดยมีความสามารถโดดเด่นถึงขนาดทางญี่ปุ่นได้ประกาศว่าทหารอาสาของกองทัพได้เดินทัพไปโดยมีเจ้าหญิงชาวแมนจูเป็นผู้นำ
ในแมนจูกัว เธอไต่เต้าด้วยเรือนกาย และอยู่ในแวดวงไฮโซ จนในที่สุด องค์หญิงก็กลายมาเป็นประธานบริษัทเหมืองทองแห่งประเทศจีนและประธานสมาคมชาวแมนจูในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่มีเกียรติและมีประโยชน์ต่อญี่ปุ่นอย่างมาก เธอมีร่ำรวยขึ้น เงินทองเธอหมดไปกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ การพนัน ฝิ่น หมอดู ช่างเสริมสวย งานปาร์ตี้ และการบริจาคให้กับการกุศล
นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้บริหารภัตตาคาร ตงกวนโหลว ที่เป็นแหล่งพบปะของชนชั้นสูง โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น และที่นี่เองที่ทำให้เธอพบกับ โยชิโกะ ยามากูชิ นักร้องชื่อดัง ที่ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน
ประหารชีวิต
ชีวิตสุขสบายของเธอต้องมาหยุดลงเมื่อเช้าวันที่ 15 กันยายนค.ศ.1945 เธอได้รับการบอกข่าวว่า “จักรพรรดิญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามต่ออเมริกา” หลังจากที่โดนถล่มด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เธอตกใจสุดขีด พยายามติดต่อนายทหารญี่ปุ่นที่เธอรู้จัก แต่คนที่เธอรู้จักต่างเดินทางกลับไปญี่ปุ่นหมดแล้ว
ถึงตอนนี้เธอยอมทิ้งบ้านหรูไปพักอาศัยในกระท่อมหลังเล็กของหน่วยอารักขาซึ่งเป็นชายฝาแฝด แต่เมื่อเงินทองของเธอร่อยหรอลง ชายทั้งสองก็เริ่มระหองระแหงกับเธอ ต่อมาทั้งคู่ก็เรียกทหารมาจับเธอแลกกับเงินรางวัลนำจับ และนำเธอไปยังเรือนจำที่กรุงปักกิ่ง
วันที่ 22 ตุลาคม ปี ค.ศ.1947 เธอก็ต้องขึ้นศาลเพื่อรับต่อสู้ข้อหาเป็นภัยต่อแผ่นดิน ในศาลเธอมักจะหัวเราะเยอะ และแถมยังขอบุหรี่มาสูบอีกด้วย เธอเคยให้การว่า “ชีวิตทั้งชีวิตของฉันเป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นจากเรื่องซุบซิบที่ไร้ความจริง” และกล่าวต่อว่า “และฉันก็คงต้องตายเพราะเสียงกระซิบอันเป็นเท็จเหล่านี้ที่มีต่อตัวฉัน” โดยเฉพาะสื่อจีนที่มักประนามเธอว่า เป็นพวกผิดเพศ จิตวิปริตเสมอๆ ต่างกับสื่อของญี่ปุ่นที่มักจะกล่าวชมเธอจนเกินจริง เช่นการนำทัพโดยหญิงงาม ต่างๆ
ภาพของตงเจิน ขณะขึ้นศาล
ในศาลเธอต้องต่อสู้ว่าเธอไม่ได้ทรยศต่อชาติ ด้วยการยืนยันว่า เธอคือ คนญี่ปุ่น แต่เอกสารของนานิวะกลับยืนยันว่า เธอคือ คนจีน ทำให้เธอถูกตัดสินประหารชีวิต ในที่สุดในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1948 หลังจากที่ทรงเขียนพินัยกรรมเสร็จสิ้น องค์หญิงก็ถูกสำเร็จโทษด้วยการยิงปืนเข้าที่ด้านหน้าศีรษะ ต่อมาทางการได้ถวายพระเพลิง และส่งพระอัฐิกลับไปยังที่ฝังที่ประเทศญี่ปุ่นในสุสานของตระกูลคาวาชิมะ ของบิดาบุญธรรมของพระองค์
ขณะที่รายงานสื่อสิ่งพิมพ์ ฉบับวันที่ 26 มีนาคม 1948 รายงานว่า เวลา 18.40 น ของวันที่ 25 มีนาคม 1948 นั้นมีนักโทษชื่อ ตงเจิน (พระนามจีนเดิมขององค์หญิง) ถูกประหารชีวิต และได้ลงรูปศพของเธอไว้ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย แต่มีสิ่งที่น่าแปลกหลายสิ่ง เช่น เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้นักข่าวคนไหนเข้าไปทำข่าวในครั้งนี้ โดยอ้างว่าเป็น “ปฎิบัติการลับ” มีเพียงนักข่าวจากเอพีคนเดียวที่ได้เข้าไปในแดนประหาร ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าองค์หญิงมาก่อน
ภาพศพของเธอที่ถูกวิจารณ์ว่า คนละคนกับเธอ
สิ่งถัดมาที่ชาวบ้านวิจารณ์กันคือ รูปศพที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์นั้น กลับเป็นรุปหญิงผมยาวปะบ่า (องค์หญิงจะไว้ผมสั้นเป็นผู้ชายตลอด) ใบหน้ายับเยิน มือหยาบกร้าน (องค์หญิงจะไม่เคยทำงานหนัก) และเคยมีลูกแล้ว (หลักฐานไม่ยืนยันว่าองค์หญิงเคยมีลูกหรือไม่)
ต่อมามีการพิสูจน์หลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะการพิสูจน์ดีเอ็นเอในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 ยืนยันว่า “ผู้ตายไม่ใช่ตงเจิน” ทำให้ข่าวลือที่ว่าเธอหนีไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านชนบท โดยใช้ชื่อว่า ยายฟาง ที่นครฉางชุนในหมั่นโจว และอยู่ต่อมาอีก 30 ปี นั้นเป็นเรื่องจริง
ยายฟาง หรือโยชิโกะ คาวาชิมา เสียชีวิตจริงในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521 สิริรวมอายุได้ 72 ปี