วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

!จีน (701-762) หลี่ไป๋ โป๊ะเซียนแห่งไหสุรา กวีเอกของแผ่นดินจีน

หลี่ ไป๋ ( 李白) (ค.ศ. 701-762)

หลี่ไป๋ นับเป็น ยอดกวีจีนที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง ได้รับยกย่องเป็น "เซียนแห่งกวี"  詩仙 ถือเป็นหนึ่งในสองคนเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์งานประพันธ์ของจีน  ชื่อของเขามักจะเคียงคู่กันกับชื่อของ ตู้ฝู่

บทกวีของหลี่ไป๋ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเต๋า และการนิยมชมชอบการดื่มสุรา เช่นเดียวกับ ตู้ฝู่ หลี่ไป๋ นั้น ดื่มเหล้าเก่งขนาดมีชื่อติดอันดับอยู่ใน โป๊ยเซียนแห่งไหสุรา หรือบางคนแปลว่า  8 ผู้เป็นอมตะจากไหสุรา ก็คือแปลว่า 8 ผู้กินเหล้าแล้วไม่เมา แห่งยุคราชวงศ์ถัง (飲中八仙, Eight Immortals of the Wine Cup) 

หลีไป๋ เขาเป็นคนมีฐานะดี มาจากครอบครัวเป็นพ่อค้าที่มีฐานะดี  จึงสามารถออกเดินทางท่องเที่ยวไปได้เรื่อยๆ  ต่างกับคนอื่นที่ยากจนจนต้องเร่ร่อนพเนจรไปในที่ต่างๆ  


งานกวีนิพนธ์ของหลี่ไป๋ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน มีมากกว่า 1,100 ชิ้น มีสไตล์ทีแตกต่าง ล้ำค่า สง่างาม  และโรแมนติก โดยเฉพาะบทกวีเขาจะใช้แนวคิด เชิงพรรณนาเกินจริง และการเปรียบเทียบแบบสุดขั้ว แต่สำหรับการใช้คำ เขามักจะเลือกที่จะใช้คำทั่วไป แต่กลับเรียงประโยคที่สวยงาม และ เป็นธรรมชาติ

ต่างชาติมีการแปลบทกวีของเขาไปเป็นภาษาตะวันตกครั้งแรกในปี คศ 1862 โดย มาร์ควิส ดีเฮอร์วีย์ เดอ แซงต์เดนีส์ ในหนังสือ Poésies de l'Époque des Thang และต่อมาในปี  คศ 1901 งานกวีนิพนธ์ของหลี่ไป๋ก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในแวดวงวรรณกรรมตะวันตก เมื่อสำนักพิมพ์ Herbert Allen Giles พิมพ์เผยแพร่ผลงานเรื่อง "ประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน" (History of Chinese Literature)

ประวัติ
ตำนานชีวิตของเขานั้นมีหลายตำนาน  เริ่มจาก หลี่ไป๋เป็นลูกพ่อค้าที่ร่ำรวย สถานที่เกิดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการสันนิษฐานของนักประวัติศาสตร์ เชื่อได้ว่า เขาน่าจะอยู่อาศัยในแถบเอเชียกลาง หรือ ประเทศ คีร์กิซสถาน ในปัจจุบัน เมื่ออายุได้ 5 ขวบ ครอบครัวของเขาย้ายมาที่เจียงหยู ใกล้กับเมืองเฉิงตูในมณฑลเสฉวน อย่างไรก็ดี แม้ว่า บิดาของเขาจะเป็นพ่อค้า แต่ก็เชื่อว่า บิดาของเขาก็น่าเป็นคนที่ชื่นชอบบทกวีเช่นกัน โดยมีตำนานเรื่องการตั้งชื่อ ของ หลี่ไป๋ ดังนี้

หลี่ไป๋ ในวัย 7 ขวบ ตอนนั้น พ่อของเขาก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้เขา แต่ตอนนั้น บิดาของเขาคิดจะตั้งชื่อให้บุตรชายอย่างจริงจัง  เมื่อบิดาเขามองไปยังลานบ้านก็เห็นต้นไม้เขียวชะอุ่ม และเริ่มออกดอกบานสะพรั่ง ทำให้เขาเริ่มร่ายกวี

“春国送暖百花开,迎春绽金它先来”

“อุ่นไอใบไม้ผลิร้อยบุบผาเบ่งบาน ต้อนรับฤดูกาลใบไม้ผลิ”

มารดาของหลี่ไป๋ ก็ต่อบทกลอนทันที ว่า

“火烧叶林红霞落,”

“ใบไม้แดงดั่งเพลิง ร่วงหล่นพราว”

เด็กชายหลี่ไป๋ที่มีอายุแค่เจ็ดขวบ ได้ฟังก็สามารถต่อกลอนบทสุดท้ายทันทีว่า

“李花怒放一树白。”

“ดอกหลี่ฮวา พร่างพราว ขาวทั้งต้น”

จากปณิธานกวีบทนี้นั่นเอง  จึงเป็นที่มาให้ บิดาของเขาเอาคำว่า ไป๋ 白 ที่แปลว่า ขาว จากคำสุดท้ายของวรรคมาตั้งเป็นชื่อ หลี่ไป๋ เขาจึงได้ชื่อเป็น หลี่ไป๋ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ขณะที่อีกตำรา เชื่อว่า เขาสืบเชื้อสายจาก ฮ่องเต้  เพราะ ตอนนั้น ฮ่องเต้ถังไท่จง ชื่อเดิมคือ หลี่ซื่อหมิน บางคนเดาว่า เขาคงไม่กล้าใช้แซ่หลี่ เหมือนกับ ฮ่องเต้ แบบมั่วๆ แน่นอน หากตัว หลี่ไป๋ ไม่มีเชื้อสายฮ่องเต้อยู่เลย แต่ทฤษฎีนี้ มีระบุใน ตำนานราชวงศ์ถังใหม่ เท่านั้นไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยัน 

ตัว หลี่ไป๋ นั้นได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปรัชญาของขงจื้อและ ลัทธิเต๋า ในวัยเด็ก เขาเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือ และร่ายกระบี่อย่างมาก  ทำให้หลี่ไป๋น้้น เป็นที่คนที่ลำพองตัว และ มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ใจนักเลง เปิดผย และรักอิสระ 

แม้ว่า ครอบครัวของเขาจะมั่งคั่งมากมาย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาได้รับโอกาสเหมาะในการเข้าไปเป็นขุนนางในราชวงศ์ถัง แม้ว่า ตัวเขาจะเคยคิดที่จะเป็นขุนนาง แต่ ตัวเขาก็ไม่เคยเดินทางไปสอบเข้ารับตำแหน่งขุนนางเลย

พอย่างเข้าอายุ 25 ปี เขาเลือกที่จะเดินทางออกจากเสฉวน เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วประเทศจีน แต่จุดนี้เองทำให้ เขาเริ่มต้นแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างปัญญาชน ทำให้ตัวหลี่ไป๋เอง เริ่มสะสมประสบการณ์และสามารถเพิ่มพูนสติปัญญาให้กับตนเองได้อย่างรวดเร็ว

ปี ค.ศ. 735 หลี่ไป๋ ขณะที่เขาอายุ 35 ปี เขาเริ่มคบหาเพื่อนสนิท 5 คน แต่เพื่อนสนิท 5 คนนี้เมาหัวราน้ำทุกวัน จนได้ฉายาว่า 6 เจ้าสำราญแห่งห้วยจู๋ซี ที่ภูเขาฉูไหล ในชานตุง อย่างไรก็ดี หลี่ไป๋ ตอนนี้ เขาเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่ปัญญาชนแล้ว โดยเฉพาะ ด้านบทกวี และแล้วเขาก็เริ่มคิด เรื่องการสอบเข้ารับราชการอีกครั้ง

เขาจึงเดินทางไปยังเมืองฉางอาน เมืองหลวงในขณะนั้น  ถึงตรงนี้ จะมีบางตำนานเล่าว่า เขาได้เดินทางไปที่นั่นเพื่อ เคารพเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ลัทธิเต๋า นาม หวูจวิน  เมื่อฮ่องเต้รับสั่งให้อาจารย์เข้ารับราชการ หลี่ไป๋จึงต้องเดินทางตามอาจารย์ไปเข้ารับราชการด้วย มากกว่าที่เขาจะตั้งใจสอบเข้ารับราชการเอง  

แต่บางตำนานเล่าว่า  เพราะชื่อเสียงของเขา เขาจึงได้รับการแนะนำตัวแก่ฮ่องเต้ ถังเสวียนจง แต่บทสรุปคือ ปี ค.ศ. 742 เขาก็สามารถเข้าสู่ สภาการศึกษา ซึ่งเป็นสภานักปราชญ์ของฮ่องเต้ และเขายังได้รับตำแหน่ง ฮ่านหลิน หรือ ที่ปรึกษาส่วนตัวของฮ่องเต้ ด้านอักษรศาสตร์ 

ภายในวัง เขายังคงปฎิบัติตัวเป็นคนเจ้าสำราญย์ ยังคงดื่มเหล้าอย่างหนักเช่นเดิม จนเขาได้รับฉายาว่า โป๊ยเซียนในไหสุรา แห่งราชวงศ์ถัง  แม้ว่า วันรุ่งขึ้น เขาจะต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ คืนนี้เขาก็ยังคงดื่มเหล้าอยู่เช่นเดิม

หลี่ไป๋ อยู่ในฐานะกวีในราชสำนักได้ไม่ถึง 2 ปี เขาก็ต้องระเห็จออกจากวัง โดยเหตุอันไม่ควร 

ตำนานเล่าเรื่อง การออกจากวังของหลี่ไป๋ นั้น มี 2 ตำนานคือ

ตำนานแรก  ก่อนหน้าเขาเคยเมาหนักแล้ว สั่งให้ขันทีคนดัง เกาหลี่ซื่อ  คนสนิทฮ่องเต้ ถอดรองเท้าให้เขา ซึ่ง เกาหลี่ซื่อ ก็ถอดรองเท้าให้เขา แต่ผูกใจเจ็บ จึงใส่ร้ายเขาทีหลัง ว่าบทกวีเขานั้น นำ หยางกุ้ยเฟย สนมคนโปรดของฮ่องเต้ไปเปรียบเปรยเรื่องหน้าตา ทำให้หยางกุ้ยเฟยโกรธมาก   แต่โชคดี ที่ หลี่ไป๋ ก็ถือเป็นคนโปรดของฮ่องเต้เช่นกัน ทำให้เขาได้รับเงินก้อนใหญ่ เพื่อแลกกับการออกจากวัง 

ขณะที่อีกตำนาน กลับปั้นให้เขาเป็นคนดีเลยทีเดียว โดยเล่าว่า หลี่ไป๋ เข้าไปในวัง และได้พบกับความฟอนเฟะของราชสำนัก ทำให้เขาตัดสินใจออกเดินทางออกจากวัง หลังจากนั้นหลี่ไป๋ก็เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนโดยมิได้ตั้งรกรากที่ไหนอีกเลยตลอดชั่วชีวิต

จนในที่สุด  เขาได้พบกับ ตู้ฝู่ ในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 744 และอีกครั้งในปีถัดมา พวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลยหลังจากนั้น แต่ ตู้ฝู่ ก็ยังให้ความสำคัญต่อมิตรภาพระหว่างพวกเขาเสมอ (บทกวีของตู้ฝู่หลายบทเกี่ยวข้องกับ หลี่ไป๋ ในขณะที่หลี่ไป๋เขียนถึงตู้ฝู่เพียงบทเดียว)

ในช่วงของ กบฏอันลู่ซาน ขณะนั้น หลี่ไป๋ อายุถึง 52 ปีแล้ว เขากลับไปเสนอให้เงินทุนสนับสนุน กลุ่มกบฎอันลู่ซาน  โดยไม่ทราบสาเหตุใดแน่ชัดว่า หลี่ไป๋เขาทำไปเพื่อเหตุผลอะไร  แต่เมื่อกลุ่มกบฎอันลู่ซัน พ่ายแพ้ ก็ส่งผลให้ หลี่ไป๋ ต้องถูกเนรเทศไปด้วย อีก 7 ปีต่อมา เขาถึงได้รับการอภัยโทษซึ่งตอนนั้นเขาก็อายุ 59 ปีแล้ว

หลี่ไป๋เสียชีวิตในวัย 61 ปี ในปี ค.ศ. 762 ที่ มณฑลอานฮุ่ย  คนส่วนใหญ่ในประเทศจีน เชื่อตามตำนานดังว่า เขาเสียชีวิตเพราะ เขานั่งเรือออกไปกินเหล้า แล้วเมา เลยกระโดดไล่จับเงาจันทร์ในแม่น้ำ โดยเฉพาะ บทกวีดังของเขา คือ บทไล่จับเงาพระจันทร์ในแม่น้ำ

แต่เรื่องตลก ก็คือ หาก หลี่ไป๋ ไล่จับเงาจันทร์ จนจมน้ำเสียชีวิตแล้ว บทกวีนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ขณะที่ นักประวัติศาสตร์ เชื่อว่า เขาน่าจะเสียชีวิต เพราะพิษจากสารตะกั่ว เนื่องจาก เขาเป็นคนชื่นชอบการดื่มยาอายุวัฒนะ  ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือ นักประวัติศาสตร์จีนอีกกลุ่มเชื่อว่า เขาน่าจะเสียชีวิตเพราะพิษสุราเรื้อรังมากที่สุด  เพราะเขากินสุราอย่างหนักมาตั้งแต่ยังหนุ่มจนอายุ 61 แล้ว ก็ไม่น่ารอดจากโรคนี้ไปได้

สุดท้ายนี้ขอจากลาด้วย บทกวี ไล่จับเงาจันทร์ในน้ำ ของหลี่ไป๋ ปิดท้ายกันนะครับ

花間一壺酒   หนึ่งป้านสุรา ท่ามกลาง มวลบุปผา

獨酌無相親    แม้นสรสรวล เฮฮา แต่เดียวดาย ไร้คู่ผูกพัน

舉杯邀明月   ยกจอกสุรา ขึ้นฟ้า เชิญน้องจันทร์  ดื่มด่ำ

對影成三人    พบเงาจันทร์  เป็นดั่งพยาน ยืนยัน 

月既不解飲    แต่น้องจันทร์  มิอาจ ดื่มด่ำได้ 

影徒隨我身    แต่น้องจันทร์ ยังคงมีเงา  อยู่รอบตัว

暫伴月將影    ทั้งเงาและน้องจันทร์ ยังคง อยู่เคียงกัน

行樂須及春    อิ่มเอม สุขสันต์ ดั่ง ฤดูวสันต์

我歌月徘徊    ยามข้าร้องเพลง น้องจันทร์นั้น เคลื่อนคล้อย

我舞影零亂    แต่ยามข้าเต้น  เงาจันทร์ กลับกระส่าย

醒時同交歡    ยามสร่างเมา ใกล้เข้ามา ยิ่งสุขใจ 

醉後各分散    ยามจากลา  ความเมามาย มลายหาย

永結無情游    ความผูกพันระหว่าง เงาและน้องจันทร์ ยังเป็นดั่ง นิจนิรันดร

相期邈雲漢    ข้าขอสัญญา  เราจะเจอกัน บนสวรรค์ ทางช้างเผือก.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น