วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

จี่เสี้ยงหลาน ขุนนางเจ้าสำราญ ข้างกาย เฉียนหลงฮ่องเต้

จี่เสี้ยงหลาน (纪晓岚) (1724 - 1805) ขุนนางนักปราชญ์ ข้างกาย เฉียนหลงฮ่องเต้

ยุคสมัยอันรุ่งเรืองของแผ่นดินจีน ภายใต้เฉียนหลงฮ่องเต้ ราชวงศ์ชิง นั้นมี เหอซิน เป็น ขุนนางกงฉิน แต่เหอซิน เป็นคนโปรดของเฉียนหลง มีตำแหน่งใหญ่โต นั่งควบหลายตำแหน่งเป็นรองก็แค่เฉียนหลง ฮ่องเต้ แต่มีขุนนางตงฉินคนหนึ่งในยุคสมัยเดียวกันเป็นนักปราชญ์ฝีปากกล้า นั่นคือ จี่เสี้ยงหลาน นั่นเอง

หลายคนเชื่อว่า จี่เสี้ยงหลาน  นี่คือ ต้นแบบของอุ้ยเสี่ยวป้อในนิยายของกิมย้ง แต่อุ้ยเสี่ยวป้อไม่มีตัวตนจริง แต่จี่เสี้ยงหยาน นั้นมีตัวตนจริงแต่อยู่ในยุคของหลานคังซีฮ่องเต้ นั่นคือ ยุคของเฉียนหลงฮ่องเต้

---------------

จี่เสี้ยงหลาน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1724 ในรัชสมัยฮ่องเต้หย่งเจิ้ง ที่เหอเจียน มณฑลเหอเป่ย เป็นลูกของรัฐมนตรีมหาดไทย และนักโบราณคดี จี่เสี้ยงหยาน เป็นคนฉลาด มีไหวพริบ สนุกสนาน เฮฮา แต่ก็เป็นคนซื่อตรง เขาฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก จนมีฉายาว่า “อัจฉริยะแห่งเหอเจียน” บันทึกระบุว่า  เขามีความจำเป็นเลิศ  อ่านหนังสือเพียงรอบเดียวก็สามารถจดจำได้หมด นอกจากนี้ เขายังมีความสามารถพิเศษ คือ เขาสามารถมองกลางคืนได้เหมือนกลางวัน แต่ความสามารถนี้ค่อยๆหายไปเมื่อโตขึ้น

อายุ 8 ขวบ พ่อของเขาพา จี่เสี้ยงหลาน ไปสมัครทดสอบความเป็นอัจฉริยะ ผ.อ.อำนวยการสอบครั้งนั้น รับราชการมาได้ 3 ปี เห็นเด็กอายุ 8 ขวบมาสมัคร ก็อยากลองภูมิ วัดความเก่งด้านวิชาการด้วย การแต่งกลอนต่อกลอน ผ.อ. 3 ปี จึงเปิดกลอนด้วย

เด็กน้อย 8 ขวบรึ จะมุ่งมั่นสอบ...
จี่เสี้ยงหลาน ไม่รีรอ ต่อ กลอนตอบกลับทันที ...
ขุนนนาง 3 ปีรึ จะซื่อสัตย์ภักดี...
ผ.อ.อำนวยการสอบถึงกับอึ้งกับคำตอบ

สมัยวัยรุ่นอายุ 18 ปี ในบันทึกราชวงศ์ชิง บันทึกว่า เขาหมกมุ่นในเรื่องกามรมย์อย่างหนัก เขามักหมกตัวอยู่ในหอโคมแดง โดยบางวัน เขาจัดทั้งเช้า กลางวัน และเย็นถึงดึกอีก 3 รอบ เลยทีเดียว ว่ากันว่า เขาสามารถเสร็จสมถึง 5 ครั้งในหนึ่งวัน วนไปแบบนี้ตลอดทุกวัน เรื่องการหมกตัวในหอโคมแดงนี้ เขาเที่ยวตั้งแต่วัยรุ่นไปถึงแก่เลยทีเดียว

นอกจากนี้ เขายังชอบกินเนื้อหมูเป็นชีวิตจิตใจ ในหนึ่งมื้อเขากินเนื้อสัตว์ไปหลายชั่ง และเกลียดการกินข้าวมาก ถึงขนาดมีกลอนว่า การกินข้าว เป็นการดูถูกกระเพาะของตนเอง  แต่ในระยะหลังเขาหันไปกินเนื้อวัวแทน แต่เขาก็ไม่แตะเนื้อเป็ด เพราะเขากินแล้วจะอาเจียน
.
ปี ค.ศ. 1747 อายุ 23 ปี สามารถสอบบัณฑิตระดับจังหวัดได้ อีก 7 ปีต่อมาเขาก็เข้าสอบบัณฑิตระดับราชวัง (จองหงวน) ได้อันดับ 22 ของประเทศ (ตำแหน่งจองหงวน คือต้องได้อันดับหนึ่งของประเทศเท่านั้น)

แม้ว่า จี่เสี้ยงหลาน จะสามารถสอบผ่านการคัดเลือกรับราชการ แต่เพราะเป็นคนขี้เหร่ (บันทึก ระบุว่า สมัยวัยรุ่นถึงกลางคน เขาเป็นคนที่อ้วนและตัวดำ) มีลักษณะพูดติดอ่าง แถม สายตาสั้น ฮ่องเต้เฉียนหลงที่ยึดหลักการคัดเลือกคนเข้าทำงาน แม้ จี่เสี้ยงหลาน จะมีความสามารถเป็นเลิศ แต่เมื่อจี่เสี้ยงหลาน บุคลิกไม่ดี จึงให้แค่ตำแหน่งงาน เสนาบดีด้านพิธีการ เท่านั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่มีบทบาทความสำคัญใดๆ  แต่กลับเป็นตำแหน่งขุนนางที่ได้ใกล้ชิดฮ่องเต้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี มีบันทึกระบุว่า เขาสะสมหนังสือนับหมื่นเล่มที่บ้านของเขา โดยถูกเก็บในโกดังส่วนตัวของเขาถึง 4 แห่ง

เฉียนหลงไว้วางใจและเชื่อใจเขาอย่างมาก ทำให้มักจะมอบหมายงานเล็กๆ ให้เขาไปทำหน้าที่แทน เช่น เป็นประธานอำนวยการสอบบัณฑิตระดับราชวัง

ทดสอบปัญญา
วันหนึ่งมี ขันทีแก่คนหนึ่ง เดินทามาจากใต้ การพูดจึงมีสำเนียงใต้  เห็น จี่เสี้ยงหลาน และได้ยินกิตติศัพท์ด้านความรู้ของเขาก็ต้องการทดสอบภูมิของเขา โดยเริ่มถามเป็นกลอนสำเนียงทางใต้ว่า "คนตัวเล็ก  ฤดูหนาว สวมใส่เสื้อ ฤดูร้อน สบัดพัด  ฤดูใบไม้ผลิ เขาจะต้องทำอะไร"

จี่เสี้ยงหลาน ต่อกลอนกลับไปทันทีว่า  "ขันทีแก่ เดินทางมาเหนือ เขาต้องทำอะไร แล้วรอฤดูอะไรอยู่"
เมื่อตอบกลับไปดังนี้  ขันทีแก่ ก็ได้แต่ชื่นชมเขา

แต่งกลอนหนึ่ง
เมื่อฮ่องเต้เฉียนหลงนั้น ชอบตั้งโจทย์ เพื่อให้  จี่เสี้ยงหลาน ตอบ

ครั้งหนึ่งที่ประพาสทางใต้ ระหว่างล่องเรือในทะเลสาบ ฮ่องเต้เห็นชายชรานั่งตกเบ็ดบนเรือลำน้อยอย่างสบายใจ อารมณ์ศิลปินจึงเกิด เขาต้องการแต่งกลอนไว้เป็นที่ระลึก เฉียนหลงจึงโยนไปให้จี้เสี่ยวหลานช่วยแต่งกลอน โดยมีโจทย์ว่าต้องมี คำว่า หนึ่ง อยู่ในกลอนนั้น 10 คำ

“หนึ่งถ่อ หนึ่งพาย หนึ่งเรือน้อย
หนึ่งประมง หนึ่งคันเบ็ด
หนึ่งเคาะ หนึ่งครวญ อีกหนึ่งยิ้ม
หนึ่งครองครอบ หนึ่งธารน้ำ”

ในที่สุด จี่เสี้ยงหลาน ก็สามารถใช้ไหวพริบแต่งเป็นกลอน เชิดชู เอาใจ เฉียนหลงฮ่องเต้ ที่ได้ครอบครองแผ่นดินทางใต้ ได้

สูบบุหรี่
จี่เสี้ยงหลาน เป็นคนสูบบุหรี่ จนเขามีฉายาในวังว่า "จี่เสี้ยงหลาน ถุงกระเป๋า" เพื่อเอาไว้ดับบุหรี่ แต่ครั้งหนึ่งเฉียนหลงมีความกังวลใจอย่างมาก จึงอยากไหว้เจ้า และรีบเรียกใช้งาน จี่เสี้ยงหลาน อย่างเร่งด่วน ทำให้เขาไม่มีเวลาดับบุหรี่ ดังนั้นเขาจึงต้องซ่อนกระเป๋าบุหรี่ไว้ในรองเท้าเพื่อรีบตามไปไหว้เจ้า ควันไฟไหม้ในรองเท้า ทำให้จี่เสี้ยงหยาน ต้องทนต่อความเจ็บปวด และหวังว่าเฉียนหลงฮ่องเต้จะไหว้เจ้าเสร็จในไม่ช้า จนควันออกมาจากกางเกงของเขา ฮ่องเต้ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น จี่เสี้ยงหลาน  รีบตอบกลับไปว่า: "ไฟ! ไฟไหม้" ฮ่องเต้รีบไล่เขาออกไปดับไฟ  จี่เสี้ยงหลาน ต้องรีบวิ่งออกไปด้วยเท้าข้างเดียว หลังจากวันนั้น จี่เสี้ยงหลาน ก็ต้องก็ต้องถือไม้เท้าช่วยเดินไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

ตงฉิน กับกังฉิน
ครั้งหนึ่ง ในพระราชอุทยาน ฮ่องเต้มองหน้าขุนนางคนโน้นที คนนี้ที แล้วนึกในใจ ต่อมาก็หันไปถามจี่เสี้ยงหยาน

“บอกข้าหน่อยได้ไหม ความแตกต่างระหว่างตงฉินกับกังฉิน”

จี่เสี้ยงหยาน  นึกไม่ทันฮ่องเต้ ก็ตอบกลับไปแบบซื่อๆ ว่า  “ตงฉินย่อมซื่อสัตย์จงรักภักดี กังฉินย่อมคดโกงปลิ้นปล้อน”

“ซื่อสัตย์ จงรักภักดีมีความหมายอย่างไร” ฮ่องเต้ถามต่อ

“ย่อมหมายถึงรับใช้ฮ่องเต้ ถึงขนาดสามารถถวายชีวิตเป็นราชพลี” จี่เสี้ยงหยาน กราบทูล

จบคำกราบทูลนี้ ฮ่องเต้เฉียนหลงทรงจ้องหน้า จี่เสี้ยงหยาน  “ท่านเป็นตงฉินหรือกังฉิน”

“ข้าฯเป็นตงฉิน”

“หมายความว่า ถ้าข้าสั่งให้ท่านไปตาย ท่านก็พร้อมจะตายโดยไม่บิดพลิ้วกระนั้นหรือ” ฮ่องเต้เสียงเข้ม

จี่เสี้ยงหยาน  กราบทูลเสียงเข้ม “ใช่แล้ว พ่ะย่ะค่ะ”

โดยที่ไม่มีใครได้ทันคาดคิด เฉียนหลงทรงสั่งเสียงดังว่า “ท่านจี้ไปกระโดดน้ำตายที่สระน้ำตรงนั้นเดี๋ยวนี้”

จี่เสี้ยงหยาน อึ้ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเฉียนหลงจริงจัง ก็เดินไปที่ริมสระน้ำตามรับสั่ง ถอดเสื้อคลุมพระราชทานออก ตั้งท่าจะกระโดดน้ำ แต่ก็หยุดชะงัก แล้วอ้าปากเหมือนพูดอะไรอยู่กับใครสักคน

ฮ่องเต้ เฉียนหลง ทรงจ้องตาไม่กะพริบ เมื่อไหร่ขุนนางนักปราชญ์คนโปรดจะกระโดดลงน้ำ แต่ทรงผิดคาด จี่เสี้ยงหยาน เดินย้อนกลับมากราบทูลว่า ข้ากำลังจะกระโดดลงน้ำอยู่แล้ว แต่มีเงาคนในสระน้ำยกมือห้าม

“ใครห้าม” ฮ่องเต้ถาม “ท่าน ฌีหยวน ห้าม” จี้เสี่ยวหลานตอบ

ฌีหยวน เป็นกวีเอกของจีนยุคโบราณ รับราชการเป็นรองนายกฯรัฐฉู่ แต่ถูกพวกกังฉินสุมหัวกันใส่ความ ต้องลาออก เนรเทศตนเองไปอยู่บ้านนอก วันหนึ่งก็ไปกระโดดน้ำตาย

ชาวบ้านรักฌีหยวน เมื่อรู้ข่าวก็ชวนกันเอาข้าวห่อไปทิ้งลงน้ำ ตั้งใจให้สัตว์น้ำกินข้าวห่อแทนแทะศพฌีหยวน จนเกิดเป็นประเพณีกินบ๊ะจ่าง เพื่อรำลึกถึงวัน ฌีหยวน ฆ่าตัวตาย

ฮ่องเต้ถาม เหตุใด ฌีหยวนถึงห้ามท่าน จี่เสี้ยงหยานตอบว่า วิญญาณ ฌีหยวน สถิตในน้ำนิรันดร บอกว่า "ข้าตายไม่ได้ เพราะชีวิตของข้านั้นเป็นเรื่องเล็ก แม้ คนภายหลังจะชื่นชมว่า ข้าตายเพราะจงรักภักดีเหมือน ฌีหยวน แต่ก็สาปแช่งเจ้านครรัฐฉู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายอมเสียชื่อว่ารักตัวกลัวตาย ดีกว่ายอมให้ใครๆกล่าวถึงพระองค์เฉียนหลงในแง่ไม่ดี”

เป็นอันว่า จี่เสี้ยงหยาน ใช้ไหวพริบระดับอัจฉริยะ รอดจากการกระโดดน้ำตาย

คนจีนมีกี่คน
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่กล่าว ถึงความปราดเปรื่องของยอดนักปราชญ์ผู้นี้ เมื่อครั้งฉลองครองราชย์ครบ 60 ปี ของเฉียนหลง ประชาชนทุกสารทิศต่างมาร่วมชุมนุมถวายเกียรติถวายพระพรแก่เจ้าเหนือหัว เฉียนหลงเห็นประชาชนมากมาย จึงถามขึ้นลอยๆว่า “เดี๋ยวนี้ประชาชนมีทั้งหมดกี่คน”

คำถามง่ายแต่ตอบยาก เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าหลบตา มีแต่ จี่เสี้ยงหยาน ที่ยังคงยิ้มแย้ม เฉียนหลง พยักหน้า จี้เสี่ยวหลานเป็นอันรู้ว่าเจ้าเหนือหัวต้องการคำตอบจากตัวเอง

“กระหม่อมเห็นว่า ทั้งแผ่นดิน มีคน แค่ 2 คน คนหนึ่งชื่อ...ชื่อเสียง อีกคนหนึ่งชื่อ...ผลประโยชน์ คนทุกคนเกิดมาล้วนย่อมมีความประสงค์สูงสุดด้วยกันทั้งนั้น บางคนพยายามสร้างตนให้มีชื่อเสียง บางคนพยามยามแสวงหาผลประโยชน์”

ช่วยเพื่อน
อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือ  ครั้งหนึ่ง...เกิดปัญหาการเมือง ราชบัณฑิต อิ่นจ้วงถู กราบทูลความจริงในราชสำนักว่า มีขุนนางทุจริตคดโกง ราษฎรโกรธเคือง

เฉียนหลงฮ่องเต้ได้รับฟังก็โกรธมาก สั่งลงโทษ อิ่นจ้วงถู ถึงขั้นประหารชีวิต บิดาของ อิ่นจ้วงถู นั้นมาขอร้อง จี่เสี้ยงหลาน เพราะ พวกเขาสอบเข้าคัดเลือกรับราชการปีเดียวกัน คุ้นเคยกันจึงออกปากขอร้องให้ จี่เสี้ยงหลาน ช่วย จี่เสี้ยงหยานจึงรับปาก 

ในการประชุมขุนนาง จี่เสี้ยงหลาน ก็ทูลขอชีวิตเพื่อน แต่ผลออกมาตรงข้าม
เฉียนหลงฮ่องเต้ ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก ชี้หน้าด่า จี่เสี้ยงหลาน ว่า

“ข้าเห็นเจ้าพอมีความรู้ทางอักษรศาสตร์ จึงให้เจ้าเป็นแม่กองเรียบเรียง “ซื่อคู่เฉวียนซู” (รวมชุดหนังสือสำคัญจากอดีตถึงปัจจุบัน) และเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า  ความจริง ข้าแค่เลี้ยงเจ้าไว้ดูเล่นๆ เหมือนโสเภณี หรือ นักแสดง เพื่อคลายเครียด เจ้า.. จี่เสี้ยงหลาน กลับมาเสนอหน้า พูดเรื่องชาติ บ้านเมือง”

จี้เสี่ยวหลานตกใจจนเหงื่อโชก รีบโขกศีรษะขอรับโทษ กลับถึงบ้านก็ล้มป่วยอยู่หลายวัน

เฉียนหลง กล่าวเช่นนี้ โดยก่อนหน้านี้ เฉียนหลงฮ่องเต้ก็เคย ให้อภัย  จี้เสี่ยวหลาน มาแล้วครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านั้น คือ จี้เสี่ยวหลาน เคยถูกส่งไปรับราชการที่สำนักตุลาการ แต่ จี้เสี่ยวหลาน กลับตัดสินคดีผิดพลาดถึงกับต้องรับโทษ เฉียนหลงจึงตรัสว่า

“จี้เสี่ยวหลาน คนนี้ เดิมทีเป็นบัณฑิตโง่เขลา ข้าแค่ให้ไปทำงานชั่วคราว เขาจึงไม่คุ้นเคยกับงานที่ได้รับไปทำ สายตาก็สั้น ถ้าเขาทำงานไม่ผิดพลาดก็นับว่าแปลก จึงสมควรให้อภัย”

จี้เสี่ยวหลาน รอดตัวมาได้สองครั้ง บทเรียนนี้มีผลให้ จี้เสี่ยวหลาน ปรับตัว...ก้มหน้าก้มตาอ่านตำราโบราณ หากวันไหนฮ่องเต้ถามเรื่องการเมือง แม้เพียงเรื่องเล็กน้อย

“ข้าพเจ้าไร้ความสามารถ รู้เรื่องเพียง ตัวอักษร เล็กน้อย...เท่านั้น"

”เฉียนหลงได้ยินคำตอบนี้ก็พอใจ แล้วบอกกับ จี้เสี่ยวหลาน ในที่สุดเจ้าก็รู้ฐานะของตัวเอง”

หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาก็ถุกเนรเทศไปอยู่ดินแดน ซินเจียงถึง 2 ปี ด้วยคดี เกลือ (ไม่มีในบันทึก)

มหาสารานุกรม
ก่อนที่เฉียนหลงจะเรียกตัวกลับมาทำงานใหญ่นั่นก็คือ “มหาสารานุกรม” ถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง ของจี้เสี่ยวหลาน และเฉียนหลงฮ่องเต้ ในปี 1773 จี้เสี่ยวหลาน ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานในการจัดทำ “มหาสารานุกรม” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งยิ่งใหญ่ของแผ่นดินจีน เทียบเท่ากับ กำแพงเมืองจีน เลยทีเดียว

มหาสารานุกรมนี้ใช้เวลาจัดทำถึง 10 ปี รวม 3,475 เล่ม ประกอบด้วย 79,000 บท มี 4 ชุด ต่อมาคัดลอกเพิ่มอีก 3 ชุด

แต่ระหว่าง การสร้าง มหาสารานุกรม นั้น เฉียนหลงฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยม แต่พบว่า จี้เสี่ยวหลาน นั้นทรุดโทรมลงอย่างมาก แต่เป็นอันรู้กันว่า เขาบากบั่นทำงานอย่างหนักจนไม่ได้เที่ยวหอโคมแดงเลย ทำให้ เฉียนหลงฮ่องเต้ต้องประทานเด็กรับใช้ให้ 2 คน คอยนอนข้างกาย จนเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติ"

นอกจากนี้ยังมีหนังสือเด่นอีกเล่มคือ  "ประชุมเรื่อง การอ่านในกระท่อมมุงหลังคา"  ที่รวบรวมเนื้อเรื่องซุบซิบนินทาของชาวบ้านกว่า 12,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องขบขัน แต่ก็มีเรื่อง เวรกรรม สยองขวัญ และภูตผีปีศาจ ผสมปนเปกันไป หนังสือเล่มนี้มีตัวอักษรจีนมากกว่า 3 แสนตัว 

นอกจากนี้ยังมีหนังสือ ประชุมเรื่องสั้น ที่กล่าวเกี่ยวกับ การข่มขืนเด็ก มีการร่วมเพศต่างๆ ผีดิบ และอื่นๆ  ซึ่งหนังสือเรื่องนี้ไม่ควรให้เด็กอ่าน นักประวัติศาสตร์คาดว่า หนังสือเล่มนี้เอง ทีสะท้อนรสนิยมส่วนตัวของเขาด้วย เนื่องจาก เขาติดเซกส์จนอายุ 80 ก็ยังไม่วายยังคงเที่ยวย่านโคมแดง

 จี้เสี่ยวหลาน รับราชการอย่างซื่อสัตย์ภักดีจนกระทั่ง ปี 1805 ก็ถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 81 ปี งานศพเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ

ที่น่าแปลก คือ คนบ้าตำรา บ้าเซกส์ เสพติดการกินเนื้อ ไม่กินผัก สูบบุหรี่ แต่เขากลับมีอายุถึง 81 ปี เลยทีเดียว

ในปี 1970 มีการขุดหลุมฝังศพเขา กลับพบว่า มีศพหญิงสาว 7 คน เลยหลุมของเขาเลยทีเดียว แต่ไม่พบศพของเขาและภรรยาเขา  ทำให้เชื่อว่า เขาอาจมีเมียน้อยถึง 7 คนเลย

โดยนักประวัติศาสตร์ เชื่อว่า ประชุมเรื่อง การอ่านในกระท่อมมุงหลังคา" บางเรื่องนั้นมาจากเรื่องราวของเขาเอง  เรื่องมีอยู่ว่า เศรษฐีคนหนึ่งได้แต่งงานกับภรรยาแสนสวย วันหนึ่งเขาป่วย

หมอจึงแนะนำเขาว่า ท่านเศรษฐี ท่านมีเซกส์มากเกินไป ท่านมีเซกส์จนไขกระดูกของท่านไม่เหลือแล้ว เหลือก็แต่ไขสมองของท่านเท่านั้น" 

ท่านเศรษฐีจึงถามกลับว่า  "แล้วไขสมองของข้าใช้ได้อีกกี่ยก"  555555





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น