เจิ้งหยูซิ่ว (郑毓秀) - สุภาพสตรีนักฆ่า ผู้ล้มราชวงศ์ชิง
สาวงามชั้นสูงในชุดกี่เผ้าสวมเครื่องประดับราคาแพง เดินเฉิดฉายในสังคมชั้นสูง แถมเป็นทนายความคนแรกของประเทศจีน คุณคงไม่คิดว่า สตรีผู้นี้คือ มือวางระเบิดแห่งยุคล้มราชวงศ์ชิง ชื่อของเธอ คือ เจิ้งหยูซิ่ว(郑毓秀)
วัยเด็ก
เจิ้งหยู่ซิ่ง เกิดวันที่ 20 มีนาคม 1891 ถือเป็นตอนท้ายของยุคปลายราชวงศ์ชิง โดยยุคสมัยนั้น เกิดนักปฎิวัติและนักคิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ในขณะที่สิทธิสตรี ก็เริ่มปล่อยให้ผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้นกว่าแต่ก่อน และสามารถเปิดเผยตัวในวงสังคมมากขึ้น
พ่อของเธอ เป็นเจ้าหน้าที่ในราชวงศ์ชิง เจิ้งหยู่ซิ่ง เป็นคนฉลาด แม่ของเธอมักสอนให้อ่านบทความธรรมะ แต่เธอเป็นพวกหัวกบฎต่อต้านวัฒนธรรมจีน ไม่ว่าจะเรื่อง ความเชื่อ 3 คุณธรรม 4 หรือแม้แต่เรือง การรัดเท้าเหมือนสตรีทั่วไปในยุคนั้น ที่เชื่อว่า สตรีที่เท้าใหญ่จะไม่สามารถหาคนแต่งงานได้ ก็ตาม
โชคดีที่ ครอบครัวของเธอนั้นร่ำรวยจากการที่ปู่ของเเธอไปค้าขายกำไรที่ฮ่องกง แต่ตัวเธอกลับเป็นเด็กมีปัญหา หากคนในบ้านไม่ตามใจเธอ เธอจะหนีออกจากบ้าน ในปี 1905 เธอจึงถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสตรีที่เทียนจิน เพื่อให้ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกตั้งแต่เด็ก ในปี 1907 เธอกับน้องสาว ก็ถูกส่งไปเรียนที่ญี่ปุ่น ที่นี่เอง เธอก็ได้เข้าร่วมกับ คณะปฎิวัติของซุนยัดเซ็น เพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิง และไม่นานต่อมาเธอก็กลับมาที่ประเทศจีน
ลอบสังหาร
ช่วงปี 1905 -1908 ขณะนั้น ซุนยัดเซ็น และพันธมิตร ได้รับแรงสนับสนุนเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ชิงอย่างแรงกล้า แม้ว่า คณะปฎิวัติจะเปิดตัวการก่อกบฎมาแล้วถึง 6 ครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด ทำให้เหล่าเยาวชนจำนวนมากต้องล้มตาย ทำให้ สมาคมพันธมิตร ถงเหมินฮุย ถูกตราหน้าว่า "ใช้ความบ้าคลั่งที่ชั่วร้าย หลอกลวงเยาวชนให้ไปตาย ขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตมีความสุขอยู่ในต่างประเทศ"
และจุดนี้เอง ที่คณะปฎิวัติมองว่า ควรเปลี่ยนกลยุทธ์จากการก่อปฎิวัติ มาเป็นการลอบสังหารแทน โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญๆ ในราชวงศ์ชิง และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า เหล่าผู้นำก็ไม่กลัวตายเช่นกัน เริ่มต้นจาก วังจิงเว่ย วางแผนจะเดินทางมาปักกิ่ง เพื่อเคลียร์สถานการณ์และรับมอบระเบิดที่ปักกิ่งเพื่อใช้ในการลอบสังหาร
เหลียวจงไข เขียนจดหมายถึง เจิ่งหยูซิ่ว ขอให้ เธอช่วย วังจิงเว่ย ในภารกิจแผนลอบสังหารครั้งนี้ เมื่อทั้งสองได้พบกัน วังจิงเว่ย บอกกับ เจิ่งหยู่ซิ่ว ว่า "ที่สถานีรถไฟปักกิ่ง มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ตัวเขาเป็นผู้ชายอาจเป็นผู้ต้องสงสัย หากจะขนระเบิดเข้าไป จึงอยากขอร้อง เธอ ให้ช่วยนำระเบิดเข้าไปที่ปักกิ่งแทน" เธอตกลงรับปากทันที
เธออาศัยความกล้าหาญ และชื่อเสียงทางสังคม และความช่วยเหลือจากเพื่อนต่างชาติ เพื่อใช้สิทธิพิเศษทางการฑูต ทำให้ คณะปฎิวัติ สามาถขนระเบิดเข้าไปปักกิ่งได้สำเร็จ และคณะปฎิวัติก็เริ่มต้นลอบสังหารสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์ชิงได้สำเร็จหลายครั้ง
ลอบสังหารหยวนซือไข่
หลังเหตุการณ์ปฎิวัติซินไฮ่ในปี 1911 กลุ่มของซุนยัดเซ็น ก่อตั้งรัฐบาลที่ทางภาคใต้ของจีน และกำลังวางแผนยกพลขึ้นเหนือ แต่ฝั่งราชวงศ์ชิงนั้นมีการเรียกตัว หยวนซื่อไข่ กลับมาเป็นแม่ทัพ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มของซุนยัดเซ็น แต่เดือนมกราคม 1912 ทั้งสองฝ่ายต้องการเจรจาให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ
ก่อนการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 9 มกราคม 1912 คณะปฎิวัติ รับข่าวมาว่า มีแนวโน้มสูงที่การเจรจาอาจล้มเหลว เนื่องจาก หยวนซื่อไข่ คือ ผู้ต่อต้านการเจรจาหลัก ดังนั้น แผนการลอบสังหารหยวนซื่อไข่ จึงถูกจัดตั้งขึ้นที่ย่านตลาดในถนน หวังฟูจิง เริ่มต้นด้วยการ แบ่งสมาชิกออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกนั่งในร้านน้ำชา กลุ่มที่สอง นั่งในร้านอาหาร กลุ่มที่สาม เดินในตลาด กลุ่มที่ 4 อยู่ในกลุ่มคนเข็นรถ ทุกกลุ่มมีระเบิดติดตัว และรอเพียงเวลา หยวนซื่อไข่ เดินผ่านมาทางนี้เท่านั้น
โชคดีที่ วันที่ 15 มกราคม 1912 คณะปฎิวัติ ได้ข่าวใหม่มาว่า คนหลักในการต่อต้านการเจรจาฝ่ายราชวงศ์ชิงคือ นายพล เหลียงปี้ ไม่ใช่ หยวนซื่อไข่ ทำให้มีการยกเลิกแผนก่อนไม่กี่ชั่วโมง แต่บางคนยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว จึงยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ดี พวกเขากลับทำงานพลาด ถูกจับไปหลายสิบคน เวลานั้น เจิ้งหยูซิว แม้จะอยู่ในกลุ่มนั้น แต่ อาศัยความเฉลียวฉลาด หลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ทันท่วงที
ลอบสังหาร นายพลเหลียงปี้
แม้ว่า เจิ้งหยูซิ่ว จะรอดมาได้ แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ คณะปฎิวัติยังคง วางแผนลอบสังหาร นายพลเหลียงปี้ ต่อไป โดย นายพล เหลียงปี้ ( 良弼 ) นี้มีผู้คุ้มกันมากมาย และยังเป็นคนหลักในการขัดขวางการเจรจาในการสละราชสมบัติของราชวงศ์ชิงอย่างหัวชนฝาเลยทีเดียว ทำให้ตอนนี้ นายพลเหลียงปี้ เป็นเป้าหมายหลักของ คณะปฎิวัติ
แต่คนรับภารกิจหลักครั้งนี้ เป็น เจี่ยเซ่ง เปียง ซึ่งเป็นคนรักของ เจิ้งหยูซิ่ว ทำให้เธอเศร้ามาก แต่พวกเขาก็วางแผนมาเป็นอย่างดี โดยใช้กลยุทธ์การเข้าประชิดตัว และสามารถปาระเบิดใส่ นายพลเหลียงปี้ ได้สำเร็จ ทำให้นายพลเหลียงปี้ เสียชีวิตในวันที่ 29 มกราคม 1912 ทำให้การเจรจาระหว่างคณะปฎิวัติกับราชวงศ์ชิงนั้นสำเร็จอย่างราบรื่น
ทำให้ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 หลงยู่ไทเฮา พระมารดาบุญธรรมของปูยีฮ่องเต้ ก็ออกมาประกาศสละราชบังลังก์ทั้งน้ำตา อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะปฎิวัติล้มล้างราชวงศ์สำเร็จ แต่ตัวเจิ้งหยู๋ซิ่ว เองกลับถูกไล่ล่าจาก หยวนซื่อไข่ ทำให้เธอต้องหลบหนีไปประเทศศึกษาที่มหาวิทยาลัย ปารีส ซอร์บอน ในประเทศฝรั่งเศส ที่สำคัญ คือ เธอสามารถจบปริญญาเอก ด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยปารีสซอร์บอน
4 พฤษภาคม
ย้อนกลับมาระหว่างที่เธอศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส สงครามโลกครั้งที่ 1 จบพอดี ประเทศที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงร่วมกันจัดการประชุมสันติภาพขึ้นที่กรุงแวร์ซาย์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย ประเทศจีนขณะนั้น แม้ว่าจีนจะอยู่ข้างฝ่ายชนะสงคราม ที่มีต่อเยอรมัน แต่ในสนธิสัญญาแวร์ซาร์ส กลับระบุให้ยกดินแดนส่วนของเยอรมันที่ได้สิทธิพิเศษในจีน ให้กับประเทศญี่ปุ่นแทน และยังบีบให้จีนลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมครั้งนี้อีกด้วย
เหตุการณ์นี้ ทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศจีนออกมาชุมนุนประท้วง หรือเรียกว่า เหตุการณ์ 4 พฤษภา โดยเหล่านักศึกษาออกมาประท้วงไม่ยอมให้ตัวแทนจากประเทศจีนลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาส์ เด็ดขาด เมื่อเจิ้งหยูซิ่ว ทราบข่าว เธอก็เป็นตัวแทนนักเรียนจีนในประเทศฝรั่งเศส และประกาศทันที ถ้าขืนลงนามในสนธิสัญญานี้ เจิ้งหยู่ซิ่งคนนี้จะไม่ให้อภัยพวกคุณแน่ แน่นอนว่า การประท้วงครั้งนี้ก็ทำให้ตัวแทนจากประเทศจีนไม่กล้าลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาร์ส ครั้งนี้
ทนายความ
เมื่อเธอจบการศึกษา เธอจึงกลับมาร่วมก่อตั้ง บริษัทกฎหมายในเซี่ยงไฮ้ กับสามีของเธอ คือ เว่ยเต้าหมิง (魏道明) ทำให้เธอได้เป็นทนายความหญิงคนแรกในประเทศจีน นอกจากนี้ยังได้รับตำแหน่ง ผู้อำนวยการศาลในเมืองเซี่ยงไฮ้ ต่อมาได้เป็น ผู้กำกับดูแลศาลชั่วคราว ในเซี่ยงไฮ้ สุดท้ายได้เป็นถึง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการศึกษาธิการ และยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมร่างกฎหมายให้กับประเทศจีน
แต่เมื่อ เว่ยเต้าหมิง รับตำแหน่งทางการฑูต เธอตัดสินใจสละทุกตำแหน่ง ติดตามไปเป็นภรรยานักการฑูต แต่ในปี 1948 สามีของเธอก็ตัดสินใจสละตำแหน่ง และลี้ภัยที่ประเทศบราซิล แต่ครอบครัวของเธอกลับล้มเหลวในการทำธุรกิจ ทำให้เธอต้องประสบปัญหาด้านการเงิน จึงเลือกที่จะย้ายไปพักอาศัยที่สหรัฐอเมริกา
ในปี 1954 เธอก็ได้รับข่าวร้ายว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง จนทำให้เธอต้องเนื้อที่หัวไหล่ทิ้ง (บางข่าวระบุว่า ต้องตัดแขนทิ้ง) ไม่นานต่อมา เธอรู้ดีว่า เธอไม่สามารถกลับจีนแผ่นดินใหญ่ได้ เธอจึงขอเดินทางเข้าไต้หวัน โดยร้องขอต่อเจียงไคเช็ก แต่คำขอเธอเดินทางมาช้าเกินไป สุดท้ายเธอต้องปิดฉากชีวิตที่ยากแค้นและเงียบเหงาในวันที่ 16 ธันวาคม 1959 ในประเทศสหรัฐอเมริกา
วัยเด็ก
เจิ้งหยู่ซิ่ง เกิดวันที่ 20 มีนาคม 1891 ถือเป็นตอนท้ายของยุคปลายราชวงศ์ชิง โดยยุคสมัยนั้น เกิดนักปฎิวัติและนักคิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ในขณะที่สิทธิสตรี ก็เริ่มปล่อยให้ผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้นกว่าแต่ก่อน และสามารถเปิดเผยตัวในวงสังคมมากขึ้น
พ่อของเธอ เป็นเจ้าหน้าที่ในราชวงศ์ชิง เจิ้งหยู่ซิ่ง เป็นคนฉลาด แม่ของเธอมักสอนให้อ่านบทความธรรมะ แต่เธอเป็นพวกหัวกบฎต่อต้านวัฒนธรรมจีน ไม่ว่าจะเรื่อง ความเชื่อ 3 คุณธรรม 4 หรือแม้แต่เรือง การรัดเท้าเหมือนสตรีทั่วไปในยุคนั้น ที่เชื่อว่า สตรีที่เท้าใหญ่จะไม่สามารถหาคนแต่งงานได้ ก็ตาม
โชคดีที่ ครอบครัวของเธอนั้นร่ำรวยจากการที่ปู่ของเเธอไปค้าขายกำไรที่ฮ่องกง แต่ตัวเธอกลับเป็นเด็กมีปัญหา หากคนในบ้านไม่ตามใจเธอ เธอจะหนีออกจากบ้าน ในปี 1905 เธอจึงถูกส่งไปเรียนโรงเรียนสตรีที่เทียนจิน เพื่อให้ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกตั้งแต่เด็ก ในปี 1907 เธอกับน้องสาว ก็ถูกส่งไปเรียนที่ญี่ปุ่น ที่นี่เอง เธอก็ได้เข้าร่วมกับ คณะปฎิวัติของซุนยัดเซ็น เพื่อต่อต้านราชวงศ์ชิง และไม่นานต่อมาเธอก็กลับมาที่ประเทศจีน
ลอบสังหาร
ช่วงปี 1905 -1908 ขณะนั้น ซุนยัดเซ็น และพันธมิตร ได้รับแรงสนับสนุนเพื่อโค่นล้มราชวงศ์ชิงอย่างแรงกล้า แม้ว่า คณะปฎิวัติจะเปิดตัวการก่อกบฎมาแล้วถึง 6 ครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทั้งหมด ทำให้เหล่าเยาวชนจำนวนมากต้องล้มตาย ทำให้ สมาคมพันธมิตร ถงเหมินฮุย ถูกตราหน้าว่า "ใช้ความบ้าคลั่งที่ชั่วร้าย หลอกลวงเยาวชนให้ไปตาย ขณะที่ตัวเองใช้ชีวิตมีความสุขอยู่ในต่างประเทศ"
และจุดนี้เอง ที่คณะปฎิวัติมองว่า ควรเปลี่ยนกลยุทธ์จากการก่อปฎิวัติ มาเป็นการลอบสังหารแทน โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญๆ ในราชวงศ์ชิง และเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า เหล่าผู้นำก็ไม่กลัวตายเช่นกัน เริ่มต้นจาก วังจิงเว่ย วางแผนจะเดินทางมาปักกิ่ง เพื่อเคลียร์สถานการณ์และรับมอบระเบิดที่ปักกิ่งเพื่อใช้ในการลอบสังหาร
เหลียวจงไข เขียนจดหมายถึง เจิ่งหยูซิ่ว ขอให้ เธอช่วย วังจิงเว่ย ในภารกิจแผนลอบสังหารครั้งนี้ เมื่อทั้งสองได้พบกัน วังจิงเว่ย บอกกับ เจิ่งหยู่ซิ่ว ว่า "ที่สถานีรถไฟปักกิ่ง มีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ตัวเขาเป็นผู้ชายอาจเป็นผู้ต้องสงสัย หากจะขนระเบิดเข้าไป จึงอยากขอร้อง เธอ ให้ช่วยนำระเบิดเข้าไปที่ปักกิ่งแทน" เธอตกลงรับปากทันที
เธออาศัยความกล้าหาญ และชื่อเสียงทางสังคม และความช่วยเหลือจากเพื่อนต่างชาติ เพื่อใช้สิทธิพิเศษทางการฑูต ทำให้ คณะปฎิวัติ สามาถขนระเบิดเข้าไปปักกิ่งได้สำเร็จ และคณะปฎิวัติก็เริ่มต้นลอบสังหารสมาชิกคนสำคัญของราชวงศ์ชิงได้สำเร็จหลายครั้ง
ลอบสังหารหยวนซือไข่
หลังเหตุการณ์ปฎิวัติซินไฮ่ในปี 1911 กลุ่มของซุนยัดเซ็น ก่อตั้งรัฐบาลที่ทางภาคใต้ของจีน และกำลังวางแผนยกพลขึ้นเหนือ แต่ฝั่งราชวงศ์ชิงนั้นมีการเรียกตัว หยวนซื่อไข่ กลับมาเป็นแม่ทัพ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มของซุนยัดเซ็น แต่เดือนมกราคม 1912 ทั้งสองฝ่ายต้องการเจรจาให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ
ก่อนการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายจะเริ่มขึ้น ในวันที่ 9 มกราคม 1912 คณะปฎิวัติ รับข่าวมาว่า มีแนวโน้มสูงที่การเจรจาอาจล้มเหลว เนื่องจาก หยวนซื่อไข่ คือ ผู้ต่อต้านการเจรจาหลัก ดังนั้น แผนการลอบสังหารหยวนซื่อไข่ จึงถูกจัดตั้งขึ้นที่ย่านตลาดในถนน หวังฟูจิง เริ่มต้นด้วยการ แบ่งสมาชิกออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกนั่งในร้านน้ำชา กลุ่มที่สอง นั่งในร้านอาหาร กลุ่มที่สาม เดินในตลาด กลุ่มที่ 4 อยู่ในกลุ่มคนเข็นรถ ทุกกลุ่มมีระเบิดติดตัว และรอเพียงเวลา หยวนซื่อไข่ เดินผ่านมาทางนี้เท่านั้น
โชคดีที่ วันที่ 15 มกราคม 1912 คณะปฎิวัติ ได้ข่าวใหม่มาว่า คนหลักในการต่อต้านการเจรจาฝ่ายราชวงศ์ชิงคือ นายพล เหลียงปี้ ไม่ใช่ หยวนซื่อไข่ ทำให้มีการยกเลิกแผนก่อนไม่กี่ชั่วโมง แต่บางคนยังไม่ได้รับรายงานดังกล่าว จึงยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ดี พวกเขากลับทำงานพลาด ถูกจับไปหลายสิบคน เวลานั้น เจิ้งหยูซิว แม้จะอยู่ในกลุ่มนั้น แต่ อาศัยความเฉลียวฉลาด หลบหนีจากที่เกิดเหตุได้ทันท่วงที
ลอบสังหาร นายพลเหลียงปี้
แม้ว่า เจิ้งหยูซิ่ว จะรอดมาได้ แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ คณะปฎิวัติยังคง วางแผนลอบสังหาร นายพลเหลียงปี้ ต่อไป โดย นายพล เหลียงปี้ ( 良弼 ) นี้มีผู้คุ้มกันมากมาย และยังเป็นคนหลักในการขัดขวางการเจรจาในการสละราชสมบัติของราชวงศ์ชิงอย่างหัวชนฝาเลยทีเดียว ทำให้ตอนนี้ นายพลเหลียงปี้ เป็นเป้าหมายหลักของ คณะปฎิวัติ
แต่คนรับภารกิจหลักครั้งนี้ เป็น เจี่ยเซ่ง เปียง ซึ่งเป็นคนรักของ เจิ้งหยูซิ่ว ทำให้เธอเศร้ามาก แต่พวกเขาก็วางแผนมาเป็นอย่างดี โดยใช้กลยุทธ์การเข้าประชิดตัว และสามารถปาระเบิดใส่ นายพลเหลียงปี้ ได้สำเร็จ ทำให้นายพลเหลียงปี้ เสียชีวิตในวันที่ 29 มกราคม 1912 ทำให้การเจรจาระหว่างคณะปฎิวัติกับราชวงศ์ชิงนั้นสำเร็จอย่างราบรื่น
ทำให้ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 หลงยู่ไทเฮา พระมารดาบุญธรรมของปูยีฮ่องเต้ ก็ออกมาประกาศสละราชบังลังก์ทั้งน้ำตา อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะปฎิวัติล้มล้างราชวงศ์สำเร็จ แต่ตัวเจิ้งหยู๋ซิ่ว เองกลับถูกไล่ล่าจาก หยวนซื่อไข่ ทำให้เธอต้องหลบหนีไปประเทศศึกษาที่มหาวิทยาลัย ปารีส ซอร์บอน ในประเทศฝรั่งเศส ที่สำคัญ คือ เธอสามารถจบปริญญาเอก ด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยปารีสซอร์บอน
4 พฤษภาคม
ย้อนกลับมาระหว่างที่เธอศึกษาที่ประเทศฝรั่งเศส สงครามโลกครั้งที่ 1 จบพอดี ประเทศที่ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงร่วมกันจัดการประชุมสันติภาพขึ้นที่กรุงแวร์ซาย์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย ประเทศจีนขณะนั้น แม้ว่าจีนจะอยู่ข้างฝ่ายชนะสงคราม ที่มีต่อเยอรมัน แต่ในสนธิสัญญาแวร์ซาร์ส กลับระบุให้ยกดินแดนส่วนของเยอรมันที่ได้สิทธิพิเศษในจีน ให้กับประเทศญี่ปุ่นแทน และยังบีบให้จีนลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมครั้งนี้อีกด้วย
เหตุการณ์นี้ ทำให้นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศจีนออกมาชุมนุนประท้วง หรือเรียกว่า เหตุการณ์ 4 พฤษภา โดยเหล่านักศึกษาออกมาประท้วงไม่ยอมให้ตัวแทนจากประเทศจีนลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาส์ เด็ดขาด เมื่อเจิ้งหยูซิ่ว ทราบข่าว เธอก็เป็นตัวแทนนักเรียนจีนในประเทศฝรั่งเศส และประกาศทันที ถ้าขืนลงนามในสนธิสัญญานี้ เจิ้งหยู่ซิ่งคนนี้จะไม่ให้อภัยพวกคุณแน่ แน่นอนว่า การประท้วงครั้งนี้ก็ทำให้ตัวแทนจากประเทศจีนไม่กล้าลงนามสนธิสัญญาแวร์ซาร์ส ครั้งนี้
ทนายความ
เมื่อเธอจบการศึกษา เธอจึงกลับมาร่วมก่อตั้ง บริษัทกฎหมายในเซี่ยงไฮ้ กับสามีของเธอ คือ เว่ยเต้าหมิง (魏道明) ทำให้เธอได้เป็นทนายความหญิงคนแรกในประเทศจีน นอกจากนี้ยังได้รับตำแหน่ง ผู้อำนวยการศาลในเมืองเซี่ยงไฮ้ ต่อมาได้เป็น ผู้กำกับดูแลศาลชั่วคราว ในเซี่ยงไฮ้ สุดท้ายได้เป็นถึง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการศึกษาธิการ และยังเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมร่างกฎหมายให้กับประเทศจีน
แต่เมื่อ เว่ยเต้าหมิง รับตำแหน่งทางการฑูต เธอตัดสินใจสละทุกตำแหน่ง ติดตามไปเป็นภรรยานักการฑูต แต่ในปี 1948 สามีของเธอก็ตัดสินใจสละตำแหน่ง และลี้ภัยที่ประเทศบราซิล แต่ครอบครัวของเธอกลับล้มเหลวในการทำธุรกิจ ทำให้เธอต้องประสบปัญหาด้านการเงิน จึงเลือกที่จะย้ายไปพักอาศัยที่สหรัฐอเมริกา
ในปี 1954 เธอก็ได้รับข่าวร้ายว่าเธอป่วยเป็นมะเร็ง จนทำให้เธอต้องเนื้อที่หัวไหล่ทิ้ง (บางข่าวระบุว่า ต้องตัดแขนทิ้ง) ไม่นานต่อมา เธอรู้ดีว่า เธอไม่สามารถกลับจีนแผ่นดินใหญ่ได้ เธอจึงขอเดินทางเข้าไต้หวัน โดยร้องขอต่อเจียงไคเช็ก แต่คำขอเธอเดินทางมาช้าเกินไป สุดท้ายเธอต้องปิดฉากชีวิตที่ยากแค้นและเงียบเหงาในวันที่ 16 ธันวาคม 1959 ในประเทศสหรัฐอเมริกา