วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 19 เด็กแดง ( 紅孩兒)

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 19 เด็กแดง 紅孩兒)


เด็กแดงคือใคร
หงไหเอ๋อร์ หรือ เด็กแดง (ฮกเกี้ยน จะเรียกว่า อั้งฮั้ยยี้ เป็นลูกขององค์หญิงพัดเหล็กกับราชาปีศาจกระทิง เนื่องจากบำเพ็ญพรตมากว่า 300 ปี จึงมีพละกำลังวิเศษ บิดาจึงให้ไปคอยรักษาภูเขาเพลิงไว้ เด็กแดงจึงมี "เพลิงสมาธิหรือ อัคคีฌาณ (三昧眞火) ทำให้สามารถปล่อยไฟจาก ดวงตา จมูก และปาก โดยไฟที่ออกมามิอาจดับด้วยน้ำได้ ต่อมาสถาปนาเป็นสุธนกุมาร อัครสาวกเบื้องซ้ายของพระโพธิสัตว์กวนอิม

** ในตอนนี้ ซุนหงอคง ได้บวชจากพระถังแล้ว ไ้ด้ชื่อว่า ซุน เห้งเจีย แล้วจึงขอใช้ชื่อ เห้งเจีย  แทนซุนหงอคง**


เนื่อเรื่องในไซอิ๋ว


เนื่อเรื่องในไซอิ๋ว
เห้งเจีย และพรรคพวก เดินทางมาถึง ภูเขาลักแป๊ะลี้จั๊บเพ้าพ้อซัว ก็เจอ เด็กแดง หรือ เด็กผมสามแหยม (อั้งอั้ยยี้ หรือ เซี๊ะเองไต้อ๋องแปลงร่างเป็นเด็กอายุ ขวบถูกมัดห้อยอยู่บนยอดต้นไม้ ร้องขอให้พระถังซ่วย แต่เห้งเจียรู้ทัน แต่พระถังก็ยังสั่งให้เห้งเจียช่วย เด็กแดงเมื่อถูกปลดลงมาก็อ้อนวอนของขี่หลังเห้งเจีย เห้งเจียยอมให้ขี่หลังพักหนึ่งก็รีบจับเด็กแดงฟาดกับพื้น เด็กแดงสู้กันพักหนึ่งก็ดลบันดาลให้พายุหอบเอาพระถังไปเก็บไว้ในถ้ำ เห้งเจียรีบตามไป เพื่อนำพระอาจารย์ของเขากลับมา เด็กแดงไม่เชื่อที่เห้งเจีย กล่าวว่า เขาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับราชาปีศาจกระทิง บิดาของเด็กแดง 
 


เห้งเจียก็ท้าอยู่หน้าถ้ำให้ออกมาสู้กัน เด็กแดงโกรธมาก เข็นเกวียนที่บรรจุทั้ง ดิน น้ำ ไฟ เหล็ก และไม้ (ธาตุทั้ง 5 五行 ) ออกมา แล้วก็เริ่มส่งกระแสเพลิงที่มีอานุภาพมากจนขนาดเผาผลาญสวรรค์ได้ เห้งเจียต้องไปขอฝนจากนาคราชแห่งทะเลตะวันออกเพื่อมาดับเพลิงสมาธิของเด็กแดง แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะฝนของนาคราชสามารถดับได้แต่เพลิงทั่วไปเท่านั้น เพลิงสมาธิที่เด็กแดงปล่อยมาไม่สามารถดับได้ แถมเด็กแดงยังโกรธมากขึ้นไปอีก เกือบเผาเห้งเจียถึงแก่ความตาย ท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังเผา เห้งเจียจึงต้องร้องขอความช่วยเหลือจากพระกวนอิม โดยพระกวนอิม ได้เขียนอักษรลงที่ฝ่ามือของเห้งเจีย ว่า บี๊ (แปลว่าเคลิบเคลิ้มและให้เห้งเจียไปสู้กับเด็กแดงต่อ โดยให้ศิษย์เอก ฮุ้ยไฮ้ ไปยืมอาวุธวิเศษจากเจ้าทีกัง 38 อันมา

พระกวนอิมได้อาวุธมา ก็เนรมิตบัลลังก์บัวขึ้นมาจากอาวุธที่ยืมมา เด็กแดงเห็นก็เข้าไปนั่งแล้วทำท่าทางอย่างพระกวนอิม ทันใด บัลลังก์บัวก็เปลี่ยนรูปเป็นดาบเข้าทิ่มแทงเด็กแดง เด็กแดงพยายามดึงดาบเหล่านั้นออก ดาบก็แปรรูปเป็นง้าวโถมเข้าฟันเด็กแดง ได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก เด็กแดงจึงร้องขอให้พระโพธิสัตว์ปล่อยตน โดยจะยอมเป็นสาวกเพื่อแลกกับการปล่อยตัว พระโพธิสัตว์จึงถอนง้าวออกจากเด็กแดงและรักษาให้ แต่เด็กแดงเมื่อหลุดออกมาได้ กลับพยายามโจมตีพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงโยนมงคลทองซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ซุนหงอคงสวม แต่ได้แยกเป็น ห่วงแล้วเข้ารัดรัดศีรษะของเด็กแดง แขนทั้งสอง และขาทั้งสอง และบีบรัดเข้าเรื่อย ๆ หลังจากที่โพธิสัตว์สังวัธยายมนตร์ชื่อ "โอมมณิปัทเมหูม" (โอมฺ มณิ ปทฺเม หูมฺสร้างทุกขเวทนาให้เด็กแดงเป็นอันมาก เด็กแดงจึงยอมแพ้


ภาพ ลูกศิษย์ พระกวนอิม ที่มีเด็กหัว 3 หย่อม คือ เด็กแดง

เด็กแดงพบว่า ตนไม่อาจถอนมงคลเหล่านี้จากร่างกายไปได้ เห้งเจียเห็นแล้วก็ร้องเยาะชอบใจ เด็กแดงได้ฟังก็ยิ่งโกรธพยายามจะเข้าทำร้ายเห้งเจียอีกรอบ พระโพธิสัตว์จึงสังวัธยายมนตร์นั้นอีก เป็นผลให้มือทั้งสองข้างของเด็กประกบเข้าด้วยกันในท่าประนมอยู่บนอก และไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย บัดนี้ เด็กแดงจึงไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายไปในกิริยาใดได้อีก นอกจาก ผงกศีรษะลงเป็นการวันทา โพธิสัตว์ให้ฉายาเด็กแดงเมื่อออกบวชแล้วว่า "สุทธนะ" (善財) หรือเสี้ยนไทท่งจื่อ

ภาพ พระกวนอิม ที่มีเด็กหัว 3 หย่อมติดตามไปด้วยเสมอ


ปริศนาธรรม เด็กแดง
เด็กแดง เปรียบเสมือน มิจฉาสังกัปปะ โดยมีผม หย่อม เปรียบเสมือน 1.กามสังกัปป์ 2.พยาบาทสังกัปป์ 3.วิหิงสาสังกัปป์์ (เบียดเบียนผู้อื่นแบบคึกคะนองไม่เกี่ยวข้องกับความโลภหรืออื่นใดโดยทั้ง หมายถึง การรับรู้อารมณ์มาล้วนๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะใดๆ ปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึกนึกคิดล้วนๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลย 
เมื่อเด็กแดง ออกจากถ้ำมายืนบนเกวียน นั้น
ยิ่งพยาบาท กลับยิ่งพยาบาท
ยิ่งโกรธ กลับยิ่งโกรธ
ยิ่งกาม กลับยิ่งกาม
ยิ่งคึกคะนอง กลับยิ่งคึกคะนอง

นั่นคือ เป็น มิจฉาสังกัปปะ เต็มที่ 

ทางแก้ของ มิจฉาสังปปะ ในระยะสั้น  การใช้ความเพลินดับชั่วคราว เช่น โกรธใครก็ออกไปดูหนัง ให้เพลินๆ จิตใจผ่องใส ค่อยๆคิด เหมือนกับที่พระกวนอิม เขียนหนังสือว่า เพลิน ให้กับเห้งเจีย

โดยวิธีแก้ ของ มิจฉาสังกัปปะ คือ โยนิโสมนสิการ การทำใจให้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วนและรอบคอบสม่ำเสมอ  และการแก้ปัญหานี้ถาวร คือ
 การแวดล้อมและปฎิบัติตาม มงคล 38 ประการ เปรียบเสมือนอาวุธที่ กวนอิม ได้ยืมมาสร้างบังลังค์บัวให้เด็กแดงไปนั่งอยู่ภายใน

มงคล 38 ประการ เช่น การคบหาบัณฑิต การไม่คบคนพาล 
เคารพคนที่ควรเคารพ  การเป็นพหูสูตร รอบรู้ มีวินัย ดูแลบิดามารดา บุตร และภรรยา(หรือสามี) ไม่ประมาทในธรรม ไม่ดื่มสุรา ถ่อมตน เป็นต้น เหล่านี้ช่วยให้มีสติสัมปชัญญะ ได้ 

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 18 ราชสีห์ขนสีฟ้า

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 18 ราชสีห์ขนสีฟ้า

ราชสีห์ขนสีฟ้า (獅猁怪 หรือ 青毛獅子) แท้จริงเป็นสิงโตพาหนะ ของ พระโพธิสัตว์บุ่งซู้ (พระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์แห่งปัญญา) เขาขับไล่พระราชาแห่งเมือง โอเกยก๊ก (烏雞國)) แล้วแอบอ้างปลอมตัวเป็น พระราชาอยู่นาน 3 ปี วิญญาณของพระราชาก็ปรากฎในฝันของพระถัง และขอให้พระถังช่วยเหลือ เห้งเจียกับโป๊ยก่ายเลยช่วยดึงศพขึ้นมาจากบ่อนำ้ และใช้ยาวิเศษของ พรหมไท้เสียงเหล่งกง เพื่อนำชีวิตของพระราชากลับคืนมา และเปิดเผยความจริง แต่ปีศาจกลับแปลงกลายเป็นพระถัง ทำให้มีพระถัง 2 คน เห้งเจียออกอุบายว่า ใครเป็นตัวจริงจะต้องร่ายมนตร์บีบศีรษะของเห้งเจียได้ เมื่อตัวปลอมทำไม่ได้ เห้งเจียก็เงื้อกระบองจะฟาด แต่พระโพธิสัตว์ มัญชุศรี ก็ปรากฎตัวขึ้น แล้วเล่าว่า แท้จริงแล้วเป็นสิงโตพาหนะของพระองค์เอง ที่พระองค์ส่งมาเพื่อลงโทษ พระราชา ครั้งนี้จึงขอให้แล้วต่อกันไป แล้วคณะก็เดินทางต่อไป

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
พระถังและสานุศิษย์เดินมาถึงอารามขนาดใหญ่ พระถึงจึงขอเข้าไปค้าง 1 คืน ได้ขอพักค้างที่พระอารามหลวงชื่อ โป๊ลิ้มยี่ เจ้าอาวาสเป็นคนถือตน และไม่ยินดีต้อนรับพระพเนจร เพราะเคยมีพระสงฆ์มาขอพักอาศัยแต่พวกเขาอยู่นานถึง 7-8 ปี และก่อเรื่องร้ายๆ ไว้ 

เจ้าอาวาสจึงกล่าวว่า “อารามเล็กๆ ของเรา ไม่อาจต้อนรับท่านเป็นอย่างดีได้ รบกวนพวกคุณไปหาที่ีอื่นอาศัยค้างคืนเถอะ” เห้งเจียได้ยินก็ข่มขู่กลับทันที “ถ้าพวกท่านไม่สะดวก พวกท่านต่างหากที่ต้องไปหาอื่นอาศัยหลับนอน” เมื่อพูดจบ เจ้าอาวาสจึงยินยอมให้พักอาศัย

ตกดึก วิญญาณของกษัตริย์เมืองใกล้ๆ ก็มาเข้าฝัน พระถัง และเล่าเรื่องให้ฟังถึง เหตุการณ์เมืองโอเกยก๊ก เมื่อ 5 ปีก่อน ฝนฟ้าแล้งจัด จนประชาชนระส่ำระสาย นักพรตช่วนจินเต้าหยิน ได้ทำพิธีเรียกฝนให้ตกลงมาห่าใหญ่ จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโอเกยก๊ก ครั้นได้โอกาส ช่วนจินเต้าหยิน ก็ลอบปลงพระชนม์พระราชาเสีย โดยผลักลงบ่อแปดเหลี่ยม เอาแท่นหินปิดไว้ แล้วช่วนจินก็แปลงกายสวมรอยเป็นกษัตริย์แทน โดยที่ไม่มีใครรู้ ไทจื้อรัชทายาทก็ไม่ได้เข้าเฝ้าเป็นเวลา 3 ปีแล้ว จึงมาฝากพระถังให้ช่วยไปบอก ลูกชายเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยมอบตราประทับหยกขาวประจำพระองค์ให้เป็นหลักฐาน ยืนยันเรื่องนี้กับ รัชทายาท

ตื่นเช้ามา พระถังจึงเล่าเรื่องให้เห้งเจียฟัง เห้งเจีย จึงไปเข้าพบ ไทจื้อรัชทายาท เพื่อเล่าความจริงให้ฟังว่าพระราชาองค์ปัจจุบันเป็นพระราชาปลอม ไทจื้อรัชทายาทไม่เชื่อ เพราะปกครองบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างดี เห้งเจียจึงแสดงตราประทับหยกขาวให้ดู และท้าให้ ไทจื้อไปสอบถาม ฮองเฮา พระมารดาว่ารสสัมผัสของพระราชาเปลี่ยนแปลงไปจาก 3 ปีที่แล้วหรือไม่ 

ฝ่ายไทจื้อรัชทายาท จึงไปกราบทูลถามพระมารดาถึงความนัยนั้น ฮองเฮาก็เล่าความจริงว่าพระราชาเปลี่ยนไป 3 ปีแล้ว เขาเคยเป็นคนอ่อนโยน หลงไหล แต่ปัจจุบัน เขากลับบอกว่า อายุเยอะแล้ว และขอให้เลิกเซ้าซี้เสมอ ไทจื้อรัชทายาท จึงเชื่อว่าเป็นช่วนจินปลอมตัวมาจริงๆ ก็นำความนั้นมาบอก เห้งเจีย

ฝ่ายซากพระศพของพระราชานั้น ได้จมลงถึงบาดาล พญาฮั้ยเล่งอ๋อง ได้เก็บรักษาไว้มิให้เน่าเปื่อย เห้งเจียกับโป้ยก่ายก็ชวนกันไปที่บ่อแปดเหลี่ยม ด้วยฤทธิ์ตะบองของเห้งเจีย โป้ยก่ายก็ลงไปในบ่อน้ำ ดำลงไปถึงบาดาล จนพบพญาฮั้ยเล่งอ๋องสหายเก่า แล้วแบกซากศพของพระเจ้าโอเกยก๊กขึ้นมา เห้งเจียเหาะนำหน้าศพมาที่อาราม แล้วตีลังกาขึ้นสู่พรหมโลกไปหา พรหมไท้เสียงเหล่ากุงขอยาชุบชีวิต เมื่อได้แล้วก็ลงมาชุบชีวิตพระราชาให้ฟื้นขึ้นมา แล้วถอดเครื่องทรงกษัตริย์ออกฝากไว้ในอาราม ให้นุ่งขาวห่มขาวแทน 

รุ่งเช้า ทั้งหมดก็เข้าไปในพระราชวัง เห้งเจียเข้าต่อสู้กับปีศาจ ปีศาจสู้ไม่ได้ และเห็นท่าไม่ดี ปีศาจจึงแปลงร่างเป็นพระถังอีกองค์หนึ่ง เห้งเจียไม่สามารถแยกได้ จึงออกอุบายบอกให้พระถังร่ายคาถาบีบขมับ หากองค์ไหนร่ายคาถาแล้วเห้งเจียปวดหัว องค์นั้นคือองค์จริง เมื่อปีศาจรู้ตัวว่า จะโดนจับได้ ก็รีบกระโดดขึ้นไปบนฟ้า เมื่อห้งเจียเหาะตามไป กำลังจะเง้อกระบองตี ก็มีเสียงดังว่า “อย่าตีเขาเลย เห้งเจีย” เห้งเจียหันกลับมา เห็นพระโพธิสัตว์มัญชุศรี พระโพธิสัตว์ จึงบอกว่า ปีศาจตนนี้ เป็น สิงโตขนฟ้า ใต้บังลังค์ข้าเอง ถูกส่งมาโดยคำสั่งของพระพุทธเจ้า เนื่องจาก กษัตริย์ ของ วูจิ เป็นคนดี มีโอกาสสำเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าจึงส่งข้ามาเพื่อมาโปรดกษัตริย์ และนำพาไปไซที โดยข้าแปลงกายมาเป็นพระภิกษุ ธรรมดา และขออาหารเจกับเขา และกษัตริย์ก็ไม่สามารถตอบคำถามของข้าได้ เขาจึงจับข้ามัดและไปทิ้งในบ่อน้ำ 3 วัน โชคดีพระอรหันต์ได้มาช่วยข้าไว้ และพาข้ากลับไซที ข้าจึงไปรายงานพระคถาคต ท่านจึงสั่งลงโทษกษัตริย์ ให้จมน้ำเป็นเวลา 3 ปีไถ่โทษ เมื่อ เห้งเจีย มาแก้ไขให้แล้ว ก็ถือว่าสิ้นเวรต่อกัน เมื่อท่านสามารถปราบสิงโตได้ นั่นหมายความว่า ท่านได้คาถาวิเศษติดตัวแล้ว



ปริศนาธรรม
ตอนนี้จะมี 2 ประเด็นคือ
1.
ตามสำนวนคนจีน คือ ย้ายเมืองนั้นยังง่ายกว่า เปลี่ยนธรรมชาติ (ของคน) นั่นคือ แม้ว่า ราชสีห์ขนฟ้า จะแปลงกายเป็นพระราชา แต่นิสัย (สันดาน) ต่างๆ ก็ยากที่จะเปลี่ยนได้ นั่นคือ นิสัยของคนเรานั้น เปลี่ยนแปลงได้ยากกว่าเปลี่ยนแปลงเมืองอีก ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างมากในการเปลี่ยนนิสัยต่างๆ ของคนเรา

2.
โดยตอนนี้ ถือเป็นตอนต่อจากเรื่อง นิวรณ์ 6 นั่นคือ เรื่องของ อวิชชา นั่นคือ ราชสีห์ขนสีฟ้า แปลงมาเป็นนักพรตลัทธิเต๋า (ลัทธิเต๋านั้นมีความพยายามจะกลืนเข้ากับศาสนาพุทธ โดยจะอธิบายเรื่องนี้ในตอนถัดๆ ไป) นักพรตตนนี้พยายามทำพิธีเพื่อแสดง อิทธิฤทธิ์ปาฎิหารย์ ในการเรียกลมเรียกฝน

(
ราชสีห์ขนสีฟ้านั้นเป็นพาหนะ ของ พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ที่ถือว่า เด่นด้านปัญญา โดยเฉพาะ เคยโพธิสัตว์มัญชุศรีนี้เคยเป็นอาจารย์ของพระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ นอกจากนี้ พระพุทธเจ้า ยังเคยกล่าวว่า ท่านตรัสรู้ได้ก็ด้วยบารมีของพระโพธิสัตว์มัญชุศรีด้วย นั่นคือ ถือว่า เป็นพระโพธิสัตว์ที่เด่นด้านปัญญาอย่างมาก )

นั่นคือ ราชสีห์ขนสีฟ้า ต่อมาแปลงเป็นพระถังซำจั๋ง (ชื่อ ซำจั๋ง นั่้นแปลว่า พระธรรม ไตรปิฎก) ความหมายคือ อะไรคือ พระธรรมแท้? อะไรคือพระธรรมเทียม? มันเป็นเรื่องยากที่จะแยกกันออก นั่นคือ ลัทธิเต๋า พยายามที่จะกลมกลืนกับศาสนาพุทธจนคนทั่วไปแยกไม่ออก แม้แต่เห้งเจีย (ปัญญา) ก็ยังไม่สามารถแยกออกได้ เช่นเรื่อง พิธีกรรม หยินหยาง โหวเฮ้ง ฮวงจุ้ย หรือแม้แต่เทพต่างๆ ในลัทธิเต๋า ต้องให้ตัวพระธรรม(พระถังซำจั๋ง) เป็นคนแยกเอง

เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่จะมีฤาษี นักพรต ในศาสนาพราหณ์ ที่พยายามกลมกลืนกันศาสนาพุทธ เช่นพิธีกรรมต่างๆ เช่นพิธีลอยกระทง พิธีแช่งน้ำ พระราชจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พิธีโล้ชิงช้า หรือ เรื่องเทพต่างๆ เช่น พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม ซึ่งคนไทยหลายคนยังแยกไม่ออกว่า พุทธหรือพราหมณ์ เช่นกัน

อีกประเด็นที่ชาวจีนมักจะถกเถียงกันในตอนนี้ก็คือ ทำไมผู้แต่งถึงให้ พระโพธิสัตว์ มัญชุศรี ถูกจับถึง 3 วัน ก่อนที่จะหลุดออกมาได้ ทั้งๆที่ เป็นคนธรรมดา เชือกธรรมดาเท่านั้น ซึ่งคนจีนหลายคนมองว่า เป็นจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้ (มีหลายจุดที่จับผิดกันมา)

ในขณะที่หนังสือของ อาจารย์เขมานันทะ นั้นตีความว่า เป็นตอน อรติ นั่นคือ หลังจากนิวรณ์ 5 แล้ว ก็มีอรติ

อรติ คืออะไร
อรติ แปลว่า ความไม่ยินดี, ความไม่พอใจ โดยไปในทางลบ นั่นคือ แม้จะไม่ยินดี แต่ก็ไม่พอใจ อรติจะแตกต่างจาก อุเบกขา คือ การวางเฉย แบบเป็นกลาง

โดยมองว่า หลังจาก การละนิวรณ์ 5 แล้ว ชีวิตดูเหมือนจะเป็นอุเบกขา แต่ความจริงมันอาจเป็น อรติ ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน โดยมองว่า พระราชาที่เปลี่ยนไป นั่นคือ อุเบกขาที่กลายไปเป็น อรติ ที่แม้จะคล้ายกันแต่พระมเหสีก็แยกออก

นอกจากนี้ การที่ราชสีห์ขนสีฟ้า(อรติ) แปลงเป็นพระถัง (ขันติ) นั่นก็ยากที่แยกกันออก คือ ความไม่ยินดี กับขันติ นั้น ดูภายนอกจะเหมือนกัน เมื่อเจอกับพระธรรม ขันตินั้นชอบ แต่ อรติ นั้นย่อมอยู่ไมไ่ด้

โดยสรุป คือ ละนิวรณ์ 5 ได้ จะต้องใช้ศรัทธาอย่างมาก ทำให้เหมือนซากศพ การจะฟื้นจากซากศพได้ ต้องอาศัยความสุขที่ปราณีต (ยาวิเศษ) เพื่อสร้างจิตที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 17 ปีศาจเขาเงิน และปีศาจเขาทอง

ปริศนาธรรม ไซอิ๋ว ตอนที่ 17 ปีศาจเขาเงิน และ ปีศาจเขาทอง
ราชาปีศาจเขาทอง (金角大王) และราชาปีศาจเขาเงิน (銀角大王) ทั้งคู่อาศัยอยู่ในถ้ำเน่ยฮวยต๋อง (แปลว่าดอกบัว) บนภูเขาเพ่งเต็งซัว (平頂山 แปลว่าภูเขาหัวตัด) พวกเขาจับพระถังและคณะได้ ด้วยการหลอกเห้งเจีย และตรึงเห้งเจียไว้กับเขาสามลูก แต่เทพารักษ์มาช่วยให้เห้งเจียสามารถหนีออกมาได้ เห้งเจียต้องใช้ปัญญาในการหลอกล่อเพื่อขโมยอาวุธและของวิเศษของปีศาจมาจนหมด 5 อย่าง คือ น้ำเต้าม่วงทอง (紫金紅葫蘆) แจกันหยก (羊脂玉淨瓶) เชือกทอง (幌金繩) กระบี่เจ็ดดาว (七星劍) พัดใบปาล์ม (芭蕉扇) โดยพวกปีศาจมีแม่ เป็น จิ้งจอก 9 หาง และ มีน้าชาย น้าอิดไต้อ๋อง (狐阿七) เป็นจิ้งจอก

เมื่อพวกเขาปราบปีศาจได้ ก็จะออกเดินทางต่อ พรหมเสียงเล่าท้ายกุน ก็ปรากฎตัวออกมาบอกว่า เด็ก 2 คนนี้คือ ลูกน้องเขาเอง ที่ให้คอยดูแลเตาเผา จะขอนำเด็กทั้งสองคนกลับไปสวรรค์ และขอของวิเศษคืนด้วย (จากตอนที่แล้ว ที่ ไท้เสียงเหล่ากุง นั้น บอกว่าขาดคนคุมเตาไฟ จึงให้ปีศาจเสื้อเหลืองไปเฝ้านั่่นเอง)


  (ระหว่างอ่านปริศนาธรรม รบกวนช่วยคลิ๊กให้วิดีโอมันวิ่งไปด้วยนะครับ เป็นกำลังใจให้ แอดมินหน่อยนะ)

เนื้อเรื่องในไซอิ๋ว
คณะที่มีเห้งเจียกลับมาร่วมทางเดินทางมาถึงป่าแห่งหนึ่ง พระถังนั้นเปรยครั้งแรกว่า “หุบเขาสูงใหญ่ อาจมีเสือหรือปีศาจออกมา” เห้งเจียจึงตอบว่า “ท่านไม่ควรกลัวอีกต่อไป หากท่านกลัว โปรดท่องคาถาของพระอาจารย์โอเซ้าเพื่อปราบความกลัวในจิตใจเถอะ” แล้วก็เข้ากลอนว่า “ล้างฝุ่นออกจากใจ ขจัดสิ่งโสมมออกจากหู หากปราศจากความทุกข์ได้ ท่านก็นิพพานได้” พระถังยังคงเปรยออกมาอีกว่า “ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ข้ามน้ำข้ามเขามามากมาย เมื่อไหร่ ข้าจะพบความสุเขเสียที” เห้งเจียหัวเราะแล้วตอบกลับว่า “เมื่อการเดินทางเสร็จสิ้น วันทั้งหลายของท่านจะว่างเปล่า แล้วท่านจะได้พบความสุขสงบเพียงลำพัง” เมื่อพระถังได้ฟังก็ปล่อยจิตอุปาทาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อความเบื่อหน่าย ละซึ่งความเศร้าหมองในจิตใจ

ต่อมาคณะก็พบชายตัดฟืน ซึ่งได้บอกกับคณะว่า ข้างหน้ามีปีศาจอาศัยอยู่ พูดเสร็จก็หายตัวไป เห้งเจียจึงเหาะไปเห็นว่า เป็นเทพเจ้าเซากง แปลงกายมาบอกทางข้างหน้า เห้งเจียจึงถามว่า แปลงกายมาทั้งที ทำไมท่านไม่บอกว่า ปีศาจตนนั้นจะทำประการใด เซากงจึงตอบกลับว่า ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนฉลาด แต่ขาดเฉลียว ข้ากลัวว่า คราวนี้ ท่านจะเสียท่าแก่ปีศาจเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็จากไป 

คณะจึงส่งโป๊ยก่ายไปสืบข่าวครั้งแรกนั้น โป๊ยก่ายแอบหนีไปนอนเหมือนเดิม แต่เห้งเจียจับได้ จึงส่งไปอีกรอบก็พบว่าเป็นเขตแดนของปีศาจเขาเงินและปีศาจเขาทอง โดยทั้งคู่กำลังคุยกันว่า คณะของพระถังกำลังเดินผ่านทางนี้ ปีศาจเขาเงินเลยออกไปดูลาดเลา ก็พบกับโป๊ยก่าย ทั้งคู่ก็เข้าสู้กัน แต่ไม่สามารถรู้แพ้รู้ชนะ เขาเงินจึงเรียกลูกน้องมารุม ทำให้จับโป๊ยก่ายได้ แล้วพวกปีศาจก็ออกไล่ล่าพระถังต่อ เมื่อปีศาจเจอพระถัง ปีศาจเขาเงินก็แปลงกายเป็นนักพรตแกล้งบาดเจ็บเพื่อรอคณะของพระถัง


เมื่อคณะเดินทางมาพบนักพรตบาดเจ็บ นักพรตก็ขอขี่หลังเห้งเจีย เห้งเจียแม้จะรู้ว่าเป็นปีศาจแต่ก็กลัวจะเกิดเรื่องอีก เลยยอมให้นักพรตขี่หลัง ครั้งแรกปีศาจเรียกภูเขาีซานมาทับเห้งเจีย เห้งเจียเอาขาซ้ายรับ ต่อมาปีศาจเรียกภูเขาเออเหมย มาทับ เห้งเจียเอาขาขวารับ ครั้งนี้ ปีศาจเลยเสกภูเขาไทซานมาทับอีก คราวนี้เห้งเจียรับไม่ไหว จึงโดนภูเขา 3 ลูกทับตรงนั้น
 


ปีศาจเขาเงินก็ย้อนกลับมาจับคณะทั้งหมดไปโดยขยายมือให้ใหญ่แล้วจับทั้งหมด แล้วปีศาจเขาเงินก็กลับมาวางแผนกับปีศาจเขาทองว่า จะทำอย่างไรกับเห้งเจีย หารือกันสรุปว่า จะใช้ของวิเศษ คือ น้ำเต้าทอง และแจกันหยก (น้ำเต้านี้ เมื่อคว่ำน้ำเต้าลงแล้วขานชื่อใคร หากคนนั้นขานรับจะถูกดูดเข้าไป ผ่านไปครึ่งชั่วโมงร่างกายจะละลายเป็นน้ำหนอง) ปีศาจให้ลูกน้อง คือ เจงเส่ย และเล่งหลี ไปจับเห้งเจีย แต่ฝั่งเห้งเจีย กำลังเศร้าที่มาถูกปีศาจ “ขวางกั้น” การเดินทาง โดยได้เรียกเจ้าป่าเจ้าเขามาช่วยเหลือ และหลุดออกมาได้ ระหว่างเหาะกลับมา ก็เจอกับลูกน้องปีศาจ 2 ตนที่ถือน้ำเต้า กับแจกันหยก มา เห้งเจียเลยแปลงกายเป็นนักพรต ลงมาถามไถ่ ลูกน้องปีศาจทั้งสอง บอกว่า ข้ามีของวิเศษคือ น้ำเต้าทอง กับแจกันหยก กำลังจะไปจับเห้งเจีย นักพรตเลยบอกว่า ข้าก็มีน้ำเต้าทองแถมใหญ่กว่าด้วย พูดเสร็จก็เสกน้ำเต้าขึ้นมา แถมคุยด้วยว่า น้ำเต้าของข้าดูดได้แม้แต่ฟ้า เมื่อเห้งเจียเปิดจุกน้ำเต้าก็เสกให้ฟ้ามืดทันที เมื่อลูกน้องปีศาจเห็นดังนั้นเลยขอแลกของวิเศษ 2 ต่อ 1 ทันที เมื่อนักพรตจากไป ปีศาจทั้งสองก็ลองใช้น้ำเต้าลูกใหม่ แต่ปรากฎว่า “ถูกหลอก” ทั้งสองรีบกลับมาหา ปีศาจเขาเงินและปีศาจเขาทอง
 


ปีศาจเขาเงินและเขาทอง ทั้งคู่ด่าเห้งเจียว่า เจ้าลิงจ๋อ มันร้ายนัก หลอกเอาของวิเศษไปได้ 2 อย่าง ดังนั้น เรารีบกินเนื้อพระถังกันก่อนดีกว่า แต่ก่อนอื่น เขาสั่งให้ลูกน้องไปเชิญมารดาเฒ่ามากินด้วยกัน แล้วให้ลูกน้องไปขอยืม เชือกทองวิเศษ ที่ฝากไว้กับมารดาเฒ่ามาด้วย เมื่อลูกน้องปีศาจเดินไปเรียกคุณแม่ แต่ระหว่างทางกลับเจอ เห้งเจีย เห้งเจียจึงจับทุบ แล้วปลอมเป็นปีศาจตัวหนึ่ง เพื่อไปหามารดาของปีศาจ ระหว่างเดินทางกลับ เห้งเจีย ก็ฟาดมารดาของปีศาจ แล้วมารดาองปีศาจก็กลายร่างกลับเป็นจิ้งจอกเก้าหาง เห้งเจียก็หยิบเชือกวิเศษ และปลอมตัวเพื่อเดินทางไปหาปีศาจทั้งสอง


เมื่อมาถึงถ้ำของปีศาจ โป๊ยก่ายที่โดนจับแขวนบนเพดาน ก็หัวเราะแล้วกระซิบบอกซัวเจ๋งว่า ศิษย์พี่มาช่วยแล้ว แต่ลูกน้องปีศาจเข้ามารายงานท่านอ๋องก่อนว่า เห้งเจียได้ตีมารดาท่านตายแล้วแปลงกายมาแทน ปีศาจจึงถือกระบี่เจ็ดดาว เข้าสู้กับ เห้งเจีย เห้งเจียเห็นว่าใช้เชือกวิเศษมัดปีศาจดีกว่า จึงหยิบเชือกโยนไปที่ปีศาจ แต่ปีศาจท่องคาถาให้กลับมามัดเห้งเจียเสียเอง เมื่อเห้งเจียถูกมัดติดกับเสาแถมโดนริบน้ำเต้าทองกับแจกันหยกคืนไป เห้งเจีย จึงต้องถอดร่างออกมาแปลงเป็นลูกน้องปีศาจ ไปบอกกับปีศาจว่า เชือกวิเศษกำลังจะหลุดให้ท่านเปลี่ยนเชือกมัดดีกว่า เมื่อได้รับเชือกมาก็ไปสับเปลี่ยน แล้วยึดเอาเชือกวิเศษมาได้ ก็ไปยืนหน้าถ้ำท้าทายปีศาจทั้งสองทันที แต่กลับบอกว่า ตัวข้าคือ น้องชายของเห้งเจีย

ปีศาจตกใจก็รีบหยิบน้ำเต้าออกมาหน้าถ้ำ แล้วกล่าวว่า ข้าจะไม่สู้รบด้วย แต่เจ้ากล้าขานรับชื่อหรือไม่ น้องชายเห้งเจีย จึงกล่าวว่า “มีเหรอข้าจะกลัว ข้าจะขานรับนับพันครั้งเลย” ปีศาจจึงคว่ำน้ำเต้าลงแล้วเรียกว่า น้องชายเจียซึง เห้งเจียเห็นว่าไม่ได้เรียกชื่อตัว จึงขานรับไป ทันใดนั้นก็ถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้าทันที
 
ปีศาจเขาเงิน ก็มาบอกกับปีศาจเขาทองว่า ข้าจับเห้งเจียไว้ในน้ำเต้าได้แล้ว ปีศาจเขาทองก็บอกว่า รออีกสักครึ่งชั่วโมง ถ้าเขย่าแล้วไม่มีเสียง แสดงว่า เห้งเจียตายแล้ว ค่อยเปิดน้ำเต้าออกมาตรวจดู แต่เห้งเจีย แอบได้ยินก็โวยวายว่า ถูกละลายเหลืออยู่ครึ่งตัวเอง เมื่อปีศาจได้ยิน ก็ลองเปิดดู เห้งเจีย ก็เสกขนให้เป็นตัวเองครึ่งตัวลอยในน้ำเต้าแล้วแปลงเป็นยุงรอบินออกมา เมื่อปีศาจเปิดออกมาดู ก็เห็นเห้งเจียเหลืออยู่ครึ่งตัว ก็รีบปิดแล้วบอกว่า ต้องรออีกสักหน่อย แต่เห้งเจียได้บินออกมาแล้ว และก็แปลงกายเป็นลูกน้องปีศาจคอยมอมเหล้าปีศาจทั้งสอง เมื่อสบโอกาสก็หยิบน้ำเต้าทองไป แล้วเสกของปลอมไปใส่แทนที่

เมื่อได้ของวิเศษมาก็ไปยืนหน้าถ้ำท้าทายปีศาจทั้งสองอีกครั้งแล้วก็บอกว่า ตัวเป็นน้องชายเห้งเจียอีกคน ปีศาจก็หยิบน้ำเต้าออกมาอีกครั้ง แล้วท้าเช่นเดิมว่า ถ้าเรียกชื่อจะต้องขานรับกัน ปีศาจก็รับคำท้า เมื่อปีศาจเรียก เห้งเจียก็ขานรับ แต่ไม่ถูกดูดเข้าไป แต่เมื่อเห้งเจียเรียกชื่อ ปีศาจกลับขานรับถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้าทันที
 

ปีศาจเขาทอง ได้ยินเรื่องก็ออกจากถ้ำจะล้างแค้นทันที โดยบอกว่า ไอ้ลิงวอก บังอาจฆ่าแม่ และน้องชาย ว่าแล้วก็หยิบของวิเศษอีก 2 ชิ้นคือ กระบี่เจ็ดดาว กับ พัดใบปาล์ม(พัดแล้วไฟลุก) เอาไปพัดใส่เห้งเจียทำให้ไฟลุก เห้งเจียเห็นว่าสู้ไม่ได้ รีบเสกกายปลอมให้โดนไฟเผา ส่วนตัวเองแอบหนีเข้าไปในถ้ำ ฆ่าลูกน้องปีศาจตายทั้งหมด ตาก็เหลือบไปเห็นแจกันวิเศษจึงรีบหยิบฉวย 


ปีศาจเขาทอง นั้นเห็นว่า ที่เผานั้นเป็นเห้งเจียปลอม ก็กลับเข้ามาในถ้ำ ปีศาจเขาทองก็ยิ่งเศร้าใจเมื่อเห็น ลูกน้องตายหมด ก็ร้องไห้จนสลบไป ทำให้เห้งเจีย สบโอกาสหยิบพัดไฟมาเป็นของตัวอีกอย่าง ปีศาจตื่นขึ้นมาก็สู้กับเห้งเจียอีก แต่คราวนี้ปีศาจสู้ไม่ได้ จึงหนีไปหาน้าชาย เห้งเจียสบโอกาสรีบเข้าไปในถ้ำ แล้วแก้เชือกที่มัดคณะเดินทางทั้งหมด

ตอนนี้น้าชายของปีศาจ คือ อาชิดไต่อ๋อง มาพร้อมกับ ปีศาจเขาทอง และบริวารปีศาจ มายืนหน้าถ้ำท้าสู้กับ เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง ก็เข้าสู้ตะลุมบอนกัน แต่อาชิดไต่อ๋องพลาดท่า โดนโป๊ยกายฆ่าตายด้วยคราด ปีศาจเขาทอง เห็นท่าไม่ดีรีบหนี เห้งเจียจึงคว่ำน้ำเต้าแล้วเรียกชื่อ “ปีศาจเขาทอง” จังหวะกำลังหนี ปีศาจเขาทองจึงนึกว่าลูกน้องเรียก จึงขานรับ โดนจับได้ เห้งเจียจึงรีบไปเชิญอาจารย์เพื่อออกเดินทางต่อไป

คณะกำลังจะออกเดินทางต่อ พรหมไท้เสียงเหล่ากุง ก็มาเรียกคณะเดินทางให้หยุดก่อน แล้วบอกเห้งเจียว่า ให้คืนของวิเศษก่อน เพราะน้ำเต้าใช้ใส่ยา ขวดไว้ใส่น้ำ เชือกไว้คาดเอว กระบี่ใช้ปราบมาร พัดใช้พัดเตาไฟ ส่วนปีศาจเขาเงินนั้นคือ คนเฝ้าเตาเงิน และปีศาจเขาทอง คือคนเฝ้าเตาทอง แต่ทั้งคู่หนีลงมายังโลก เห้งเจียตอบกลับว่า ท่านนี่แย่จริงๆ ปล่อยให้ลูกน้องมาอาละวาดในโลกมนุษย์ ไท้เสียงเหล่ากง ก็บอกว่า อย่าว่าข้าเลย พระกวนอิม ขอยืมของวิเศษและลูกน้องข้าให้มาทดสอบพวกท่านเอง พวกมันไม่ได้หนีออกมา เพราะท่านเชื่อว่า หากพวกท่านไม่สามารถผ่านมารเหล่านี้ได้ ท่านก็ไม่สามารถเดินทางไปไซทีได้ เห้งเจียได้ยินดังนั้นก็ยิ้มใบหน้าผ่องใส แล้วคืนของวิเศษทั้งหมดให้ แล้วทั้งหมดก็มุ่งมั่นเดินทางต่อไป

ปริศนาธรรม
ตอนนี้ ผู้แต่งเน้นไปที่ นิวรณ์ 6 (ในนิวรณโคจฉกะ) แต่บางคนจะเรียก นิวรณ์ 5 (เครื่องปิดกั้นในการปฎิบัติธรรม) โดยครั้งแรกนั้น พระถัง จิตใจวุ่นวายกลัวปีศาจ (อุทธัจจะ ฟุ้งซ่าน วุ่นวาย) เห้งเจียจึงให้อาจารย์ภาวนา คาถาของพระอาจารย์โอเซ้า ต่อมา พระถังก็เปรยอีกว่า “เดินทางมาตั้งนาน เมื่อไร่จะพบสุข” (วิจิกิจฉา ไม่แน่ใจ) เห้งเจียจึงบอกว่า ให้มุ่งมั่นต่อไป เมื่อการเดินทางเสร็จสิ้นจึงจะพบสุข ต่อมาโป๊ยก่าย แอบไปหลับ (มิทธะ ง่วงเหงา หาวนอน) เห้งเจียเลยต้องดุ และบังคับให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง

ปีศาจเขาเงินและเขาทองนั้น อาศัยอยู่ในถ้ำดอกบัว (คือ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งบางคนแปลว่า พระสูตรดอกบัวขาว ถือเป็นพระสูตรสำคัญของนิกายมหายาน โดยเนื้อหาในพระสูตรก็ประมาณว่า ใครก็สามารถสำเร็จนิพพานได้ ไม่ว่าจะเป็นสตรี หรือบุรุษ ขอทานหรือเศรษฐี) โดยปีศาจในตอนนี้จะเป็นปีศาจที่มีของวิเศษมากที่สุดในนิยายเรื่องไซอิ๋วเลยทีเดียว

ราชาปีศาจเขาเงิน แทน ความประมาท และกุกกุจจะ (ทำในสิ่งไม่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ) เพราะเขาเป็นปีศาจคนเดียวในนิยายที่สามารถจับเห้งเจียได้ถึง 3 ครั้ง แต่ไม่ทำให้เด็ดขาด (ครั้งแรก ให้ภูเขาทับเห้งเจีย ครั้งที่ 2 จับด้วยเชือกวิเศษ ครั้งที่ 3 จับด้วยน้ำเต้าทอง)

ราชาปีศาจเขาทอง แทน ความพยาบาท และ
(ถีนะ) ความเหงา เศร้า เขาอาฆาตที่เห้งเจียไปฆ่าแม่ น้อง รวมถึงลูกน้องทั้งหมด ทำให้เขาเศร้าหมอง เหงา ต่อมาเขาก็ประมาทอีกด้วย ที่เห้งเจียเรียกชื่อเขา แต่เขาไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน

ปีศาจสุนัขจิ้งจอกเก้าหาง แทน
(อุทธัจจะ) ความสับสนวุ่นวาย (คนจีนว่ามาจาก หาง 9 หาง คือความ สับสน วุ่นวายเหมือน 9 หาง) แต่หากยึดตามตำนานจิ้งจอก 9 หาง จะเป็น (กามฉันทะ) เพราะนางคือ ปีศาจที่เจ้าแม่หนี่หว่า ส่งลงมาสิงพระมเหสีทำให้ราชาหลงใหลจนกลายเป็นทรราช

นิวรณ์ 6 คืออะไร
นิวรณ์ แปลว่า เครื่องขวางกั้น (ตอนที่ เห้งเจียถูกภูเขาทับ แต่เขาตะโกนออกมาว่า เจ็บใจที่ถูกปีศาจขวางกั้นการเดินทาง) ในทางธรรมหมายถึง เป็นเครื่องกั้นในการทำความดี และปฎิบัติธรรมให้บรรลุธรรม หรือทำให้ล้มเลิกความตั้งใจ (นั่นคือ พระกวนอิม ยืมของวิเศษ และลูกศิษย์ ของพรหมเสียงเหล่ากุง มาทดสอบ และยืนยันว่า หากฝ่าด่านนี้ไม่ได้ จะไม่มีทางไปถึงไซที)
**
อย่างไรก็ดี โดยทั่วไป เราจะได้ยินแค่ นิวรณ์ 5 แต่ในพระไตรปิฎกนั้น ยืนยันว่า เป็น นิวรณ์ 6 คือมี อวิชชาด้วย **

นิวรณ์ 6 ประกอบไปด้วย
1.
กามฉันทนิวรณ์ คือ ความพอใจ ความหลงติด ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ตัณหา สิเนหา ความหมกหมุ่น
2. พยาปาทนิวรณ์ คือ อาฆาต ต่อผู้กระทำความเสียหาย(เสื่อมเสีย) แก่เรา ก่อให้เกิด จิตอาฆาต ความขัดเคือง ความแค้น โกรธ โทสะ
3. ถีนมิทธนิวรณ์ คือ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ ประกอบด้วย ถีนะ และ มิทธะ
3.1 ถีนะ ความไม่สมประกอบแห่งจิต เช่น หดหู่ ซึมเศร้า
3.2 มิทธะ ความไม่สมประกอบแห่งกาย เช่น ง่วงเหงา หาวนอน
4. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ประกอบด้วย
4.1 อุทธัจจะ ความไม่สงบแห่งจิต เช่น ความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย
4.2 กุกกุจจะ ความสำคัญว่า ควรในสิ่งที่ไม่ควร หรือ ไม่ควรในสิ่งที่ควร เช่น ความรำคาญ ความเดือดร้อน
5. วิจิกิจฉานิวรณ์ ความเคลือบแคลงสงสัยในพระธรรม พระสงฆ์ พระศาสดา ความเห็นที่คิดเห็นไปต่างๆ ทำให้ความคิดส่ายไปมา
6. อวิชชานิวรณ์ ความไม่รู้ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ โดยมีปัญญาทราม ความโง่เขลา

ทางแก้ คือ ต้องใช้ศีลและสมาธิ ดังนี้
1.
กามฉันทะ ใช้ภาวนา กายคตาสติ เพื่อทำลายความอยาก เสริมด้วย การไม่ประพฤติผิดในกาม
2.
พยาบาท ใช้ภาวนา พรหมวิหาร 4 เพื่อเพิ่มความเมตตา กรุณา เสริมด้วยศีล การไม่ฆ่าสัตว์
3.
ถินมิทธะ ใช้ภาวนาอนุสสติ 7 เพื่อเสริมสร้างความเพียร เสริมด้วยศีล การไม่เสพสิ่งเสพติด
4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ใช้ภาวะนากสิน 6 เพื่อเพิ่มกำลังสมาธิ เสริมด้วยศีล ไม่ยึดเอาถือเอา
5.
วิจิกิจฉา ใช้ภาวนาจตุตธาตุววัตถาน (พิจารณาธาตุ 4) หรือ อานาปานสติ เพื่อละความสงสัย เสริมด้วยศีล การไม่พูดเท็จ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

องค์หญิงตงเจิน องค์หญิงจารชน

องค์หญิงตงเจิน  องค์หญิงจารชน

องค์หญิงแห่งราชวงศ์ชิง ถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผู๋อี้ จักรพรรดิองค์สุดท้าย ถูกส่งตัวให้เป็นลูกบุญธรรมคนญี่ปุ่นตั้งแต่เด็ก  ต่อมากลายเป็นสายลับ กลับมาบ่อนทำลายชาติจีน บทสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด ถูกประหารยิงเป้า ข้อหาทรยศชาติ แต่เธอกลับรอดมาได้อย่างปาฎิหารย์

"ถ้าฉันพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเป็นพลเมืองญี่ปุ่น ฉันจะไม่ถูกประหารด้วยน้ำมือชาวจีน" นี่คือคำพูดสุดท้ายของพระองค์ก่อนถูกตัดสินประหารชีวิต
เนื้อเรื่อวัยเด็ก
องค์หญิงเสียนหวี หรือ เซียนหยู่ ประสูติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ค.ศ.1906 มีพระนามเดิมภาษาแมนจูชื่อว่า"อ้ายซินเจว๋หลัว เสียนหวี"爱新觉罗.显玙 มีพระนามภาษาจีนว่า"จินปี้ฮุย" 金壁辉หรือเรียกกันง่ายๆว่า "ตงเจิน" ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ 14 ของเจ้าชายซู่ชินอ๋วง(肃亲王)ซึ่งพระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นชินหวางอัน นับว่าเป็นบรรดาศักดิ์สูงที่สุด
ภาพเจ้าชาย ซ่านฉี พ่อขององค์หญิงเสวียนหวี หรือ ตงเจิน
ต่อมาเจ้าชายซู่ชินอ๋วง หรือซ่านฉี ได้ประทานพระองค์หญิงให้เป็นบุตรบุญธรรมของ Naniwa Kawashima (นินาวะ คาวาชิมะ) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพระองค์ ชายผู้นี้มีบทบาทในกองทัพญี่ปุ่น ที่เจ้าชายซู่ประทานพระธิดาให้เพราะหวังว่าจะเป็นสะพานใช้ในการหาความช่วยเหลือเพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ชิง

ยุคนั้น จีนเพิ่งโดนเผาพระราชวังฤดูร้อน ในปี ค.ศ. 1900 จากเหตุการณ์กบฎนักมวย จากพันธมิตร 9 ชาติ และมีข่าวลือตอนนั้นว่า กองทัพพันธมิตรกำลังมุ่งหน้าไปเผาเพื่อหวังขโมยสมบัติที่วังต้องห้าม แต่ญี่ปุ่นนั้นช่วยเจรจา ทำให้ราชวงศ์ชิงนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นที่ช่วยเจรจาครั้งนั้น ก็คือ พ่อบุญธรรมขององค์หญิงเสวียนหวี นี่เองทำให้ เจ้าชายซ่ายฉี มีความสนิทสนมกับ  นานิวะ คาวาชิมะ

ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1911 นั้น ประเทศจีนเกิดปฎิวัติซินไฮ่ และวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 1912 ราชวงศ์ชิงก็ถึงคราวล่มสลาย  แม่ของจักรพรรดิผู่อี้) ได้ประกาศสละราชสมบัติ ตอนนี้ ราชวงศ์ชิงกำลังตกต่ำ
ภาพสมัย มัธยมของเธอ
ในปี ค.ศ.1914 ตอนนั้นองค์หญิงมีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น เธอถูกส่งตัวไปญี่ปุ่น บิดาบุญธรรมขององค์หญิงได้ตั้งชื่อใหม่ให้เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Yoshiko Kawashima (โยชิโกะ คาวาชิมะ) ตลอดเวลาที่เติบโตในญี่ปุ่น พระองค์ได้รับการอบรมแบบญี่ปุ่น เรียนหนังสือในโรงเรียนสตรีชั้นนำของญี่ปุ่น พระองค์ไม่ได้ถูกอบรมเพียงคุณสมบัติกุลสตรีเท่านั้นแต่ยังได้รับการศึกษาเกี่ยวกับการเมือง การปกครองและการฝึกฝนอย่างหนักเยี่ยงทหาร ทั้งยิงปืนและขี่ม้า รวมถึงการต่อสู้ชนิดต่างๆ จากบิดาบุญธรรม
มีหลักฐานรูปถ่ายใบหนึ่งในบ้านของนานิวะ ที่ระบุว่า โยชิโกะ ตัวเล็กใส่ชุดกิโมโน ยืนอยู่ท่ามกลางผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมาก ขณะกำลังประชุมแผนการขยายอำนาจไปประเทศจีน โดยหลายคนในภาพต่อมากลายเป็นอาชญกรสงคราม

รื่องราววัยรุ่น
บิดาบุญธรรมได้ข่มขืนองค์หญิงเมื่อองค์หญิงมีอายุเพียง 18 ขวบ ซึ่งเรื่องที่เลวร้ายนี้ พระองค์ได้บันทึกไว้ว่า"ฉันได้สูญเสียความเป็นหญิงไปตลอดกาล" เช้าวันรุ่งขึ้น องค์หญิงทรงแต่งผมทรงญี่ปุ่น สวมกิโมโนอันงดงาม เพื่อถ่ายภาพอำลา ความเป็นผู้หญิงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นทรงปลงผมสั้นแต่งองค์เหมือนบุรุษ และทรงทำทุกอย่างที่บุรุษทำ พร้อมประกาศก้องว่าพระองค์ได้ “หลุดพ้นจากความเป็นหญิงแล้ว”
ภาพถ่ายคู่กับพ่อบุญธรรม และเธอตัดผมสั้นเป็นชายแล้ว

ไม่นานจากเหตุการณ์นั้น องค์หญิงเสียนหวี ได้พบรักกับนายทหารชาวญี่ปุ่น ชื่อ “ยามางะ” แต่เธอก็เป็นเพียงของเล่นสำหรับ “ยามางะ” เท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้องค์หญิงถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ
ภาพงานแต่งงานของตงเจิน กับ เจ้าชายมองโกเลีย
ในปี ค.ศ.1927 พ่อแท้ๆ ของเธอได้ยกเธอให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชายมองโกเลีย นามว่า"กันจูเออร์จาปู้"หรือ"กันจูเออจาบ" ซึ่งเป็นบุตรของนายพลปาปู้จาปู้ ท่านนายพลผู้นี้เป็นผู้นำในขบวนการแบ่งแยกดินแดนมองโกลให้เป็นอิสระ พระบิดาแท้ๆขององค์หญิงเสียนหวีสนิทสนมกับครอบครัวนี้อย่างมาก โดยมีข่าวว่า ซ่านฉีนั้นได้สาบานเป็นพี่น้องกับนายพลปาปู้จาปู้เลยทีเดียว และซานฉีก็เป็นผู้ส่งจูเออร์จาปู้ไปเรียนต่อด้านวิชาทหารที่ญี่ปุ่น

แต่แล้วในปี ค.ศ. 1931 เธอได้หนีจากดินแดนอันหนาวเหน็บ เธอยอมพลีกายเพื่อเปิดทางให้เธอหนีออกมาจากดินแดนที่แสนห่างไกลนั้นได้ โดยเดินทางไปพร้อมกับรถขนส่งสินค้าคันหนึ่งมุ่งหน้าสู่ท่าเรือพอร์ตอาเธอร์ ที่จะมีเรือโดยสารไปยังโตเกียว เธอยอมแบ่งทรัพย์สินที่เธอลักมาจากสามีผู้เป็นเจ้าชายมองโกเลียเป็นค่าโดยสารที่แสนแพง และบนเรือโดยสารนั้นเอง เธอได้รู้จักกับ “มาดามฮิดาริ” สตรีหม้ายนักธุรกิจไฮโซจากประเทศญี่ปุ่น เธอกลายเป็นเพื่อนกับ “ฮิดาริ” เธอได้แบ่งบ้านหลังหนึ่งให้กับองค์หญิงเป็นแหล่งพักพิงในกรุงโตเกียว และคอยส่งผู้ชายที่ร่ำรวยมาให้เธอเป็นประจำ
ต่อมาเธอก็กลับมาที่เมืองจีนโดยไปอยู่ที่เชี่ยงไฮ้ เธอใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ก้าวขึ้นมาเป็นสาวไฮโซแสนสวยเป็นที่หมายปองของบรรดาชายหนุ่มและแก่มากหน้าหลายตา

เข้าสู่งานจารชน
และแล้วชีวิตเธอก็เริ่มเข้าสู่ด้านมืด เมื่อเธอได้พบกับ ริวคิชิ ทานากะ (Ryukichi Tanaka) ทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่น เธอมอบความรักให้กับเขา แต่สิ่งที่เธอได้รับจาก “ทานะกะ” คือการชักชวนเข้ามาเป็นสายลับให้กับญี่ปุ่น และถูก “พันเอกโดอิฮาระ” ผู้เป็นหัวหน้าของ “ทานะกะ” เรียกตัวให้ไปรายงานตัวที่เมืองเทียนจิน เป็นเมืองที่พำนักของ “จักรพรรดิผู๋อี้” หลังจากถูกพรรคก๊กมินตั๋งยึดครองประเทศ

ในเวลาเดียวกันทางญี่ปุ่นได้อาศัยความสัมพันธ์ของพระองค์กับเหล่าเชื้อพระวงศ์แมนจูและเจ้านายชาวมองโกลในการสร้างรัฐ แมนจูกัว นายพลโตอิฮาระ ได้ส่งเธอเป็นสายลับเข้าไปอยู่ในบ้านพักของ “จักรพรรดิผู๋อี้” อดีตพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชิง แน่อนนว่า ผู๋อี้นั้นทรงเมตตากับองค์หญิงมาก เพราะเธอเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกับผู๋อี้ การที่ผู๋อี้ยอมไปเป็นจักพรรดิหุ่นเชิดของรัฐแมนจูกัวที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะการเกลี้ยกล่อมขององค์หญิงเสี่ยนหวี

แต่ประเด็นสำคัญคือ หวั่นหรง ที่ไม่ชอบญี่ปุ่น และไม่ยอมไปอยู่กับสามีที่แมนจูกัว ทำให้เธอต้องเข้าตีสนิทกับ หวั่นหรง ในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นคู่ปรับทุกข์ของกันและกัน และมักสูบฝิ่นด้วยกัน เมื่อ หวั่นหรงยอมย้ายไปอยู่แมนจูกัว เธอก็สำเร็จภารกิจชิ้นแรก และทำให้เธอได้รับตำแหน่ง พันตรีแห่งกองทัพญี่ปุ่น ทันที
ตอนนี้ ภารกิจใหม่ของเธอ คือ ก่อกวนชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ โดยเธอว่าจ้างนักเลงหัวไม้ ให้ปล้น และทุบตีชาวญี่ปุ่นเป็นหลัก และเหตุการณ์เผาโรงงานคนญี่ปุ่นก็เป็นเหตุจุดฉนวนสำคัญ ทำให้ประเทศญี่ปุ่นสามารถอ้างเหตุผลในการเข้าโจมตีเมืองเซี่ยงไฮ้  ทำให้เมืองเซี่ยงไฮ้ทั้งเมืองอยู่ในกองเพลิง ทั้งเมืองเสียหายยับเยิน ภารกิจของเธอสำเร็จอีกครั้ง

ต่อมา เธอย้ายไปอยู่ที่เมืองแมนจูกัว  และรับตำแหน่ง นายพลหญิงแห่งแมนจูกัว ที่นั่นเธอได้พบ ผู๋อี้และหวั่นหรงอีกครั้ง เธอก้าวเข้ามามีบทบาทในแมนจูกัวอย่างมาก ทั้งออกวิทยุและถึงขั้นร้องเพลงและบันทึกแผ่นเสียง แต่องค์หญิงไม่ได้มีความสามารถแค่นั้น พระองค์มีความสามารถถึงขนาดร่วมรบไปกับกองทัพของแมนจูกัว โดยเฉพาะครั้งสงครามแม่น้ำเร่อ โดยมีความสามารถโดดเด่นถึงขนาดทางญี่ปุ่นได้ประกาศว่าทหารอาสาของกองทัพได้เดินทัพไปโดยมีเจ้าหญิงชาวแมนจูเป็นผู้นำ

ในแมนจูกัว เธอไต่เต้าด้วยเรือนกาย และอยู่ในแวดวงไฮโซ จนในที่สุด องค์หญิงก็กลายมาเป็นประธานบริษัทเหมืองทองแห่งประเทศจีนและประธานสมาคมชาวแมนจูในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นบทบาทที่มีเกียรติและมีประโยชน์ต่อญี่ปุ่นอย่างมาก เธอมีร่ำรวยขึ้น เงินทองเธอหมดไปกับเสื้อผ้า เครื่องประดับ การพนัน ฝิ่น หมอดู ช่างเสริมสวย งานปาร์ตี้ และการบริจาคให้กับการกุศล

นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้บริหารภัตตาคาร ตงกวนโหลว ที่เป็นแหล่งพบปะของชนชั้นสูง โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น และที่นี่เองที่ทำให้เธอพบกับ โยชิโกะ ยามากูชิ นักร้องชื่อดัง ที่ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกัน

ประหารชีวิต
ชีวิตสุขสบายของเธอต้องมาหยุดลงเมื่อเช้าวันที่ 15 กันยายนค.ศ.1945 เธอได้รับการบอกข่าวว่า “จักรพรรดิญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามต่ออเมริกา” หลังจากที่โดนถล่มด้วยระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เธอตกใจสุดขีด พยายามติดต่อนายทหารญี่ปุ่นที่เธอรู้จัก แต่คนที่เธอรู้จักต่างเดินทางกลับไปญี่ปุ่นหมดแล้ว

ถึงตอนนี้เธอยอมทิ้งบ้านหรูไปพักอาศัยในกระท่อมหลังเล็กของหน่วยอารักขาซึ่งเป็นชายฝาแฝด แต่เมื่อเงินทองของเธอร่อยหรอลง ชายทั้งสองก็เริ่มระหองระแหงกับเธอ ต่อมาทั้งคู่ก็เรียกทหารมาจับเธอแลกกับเงินรางวัลนำจับ และนำเธอไปยังเรือนจำที่กรุงปักกิ่ง

วันที่ 22 ตุลาคม ปี ค.ศ.1947 เธอก็ต้องขึ้นศาลเพื่อรับต่อสู้ข้อหาเป็นภัยต่อแผ่นดิน ในศาลเธอมักจะหัวเราะเยอะ และแถมยังขอบุหรี่มาสูบอีกด้วย เธอเคยให้การว่า “ชีวิตทั้งชีวิตของฉันเป็นสิ่งที่ถูกแต่งขึ้นจากเรื่องซุบซิบที่ไร้ความจริง” และกล่าวต่อว่า “และฉันก็คงต้องตายเพราะเสียงกระซิบอันเป็นเท็จเหล่านี้ที่มีต่อตัวฉัน” โดยเฉพาะสื่อจีนที่มักประนามเธอว่า เป็นพวกผิดเพศ จิตวิปริตเสมอๆ ต่างกับสื่อของญี่ปุ่นที่มักจะกล่าวชมเธอจนเกินจริง เช่นการนำทัพโดยหญิงงาม ต่างๆ
ภาพของตงเจิน ขณะขึ้นศาล
ในศาลเธอต้องต่อสู้ว่าเธอไม่ได้ทรยศต่อชาติ ด้วยการยืนยันว่า เธอคือ คนญี่ปุ่น แต่เอกสารของนานิวะกลับยืนยันว่า เธอคือ คนจีน ทำให้เธอถูกตัดสินประหารชีวิต ในที่สุดในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1948 หลังจากที่ทรงเขียนพินัยกรรมเสร็จสิ้น องค์หญิงก็ถูกสำเร็จโทษด้วยการยิงปืนเข้าที่ด้านหน้าศีรษะ ต่อมาทางการได้ถวายพระเพลิง และส่งพระอัฐิกลับไปยังที่ฝังที่ประเทศญี่ปุ่นในสุสานของตระกูลคาวาชิมะ ของบิดาบุญธรรมของพระองค์

ขณะที่รายงานสื่อสิ่งพิมพ์ ฉบับวันที่ 26 มีนาคม 1948 รายงานว่า เวลา 18.40 น ของวันที่ 25 มีนาคม 1948 นั้นมีนักโทษชื่อ ตงเจิน (พระนามจีนเดิมขององค์หญิง) ถูกประหารชีวิต และได้ลงรูปศพของเธอไว้ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย แต่มีสิ่งที่น่าแปลกหลายสิ่ง เช่น เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้นักข่าวคนไหนเข้าไปทำข่าวในครั้งนี้ โดยอ้างว่าเป็น “ปฎิบัติการลับ”  มีเพียงนักข่าวจากเอพีคนเดียวที่ได้เข้าไปในแดนประหาร ซึ่งเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าองค์หญิงมาก่อน
ภาพศพของเธอที่ถูกวิจารณ์ว่า คนละคนกับเธอ

สิ่งถัดมาที่ชาวบ้านวิจารณ์กันคือ รูปศพที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์นั้น กลับเป็นรุปหญิงผมยาวปะบ่า (องค์หญิงจะไว้ผมสั้นเป็นผู้ชายตลอด) ใบหน้ายับเยิน มือหยาบกร้าน (องค์หญิงจะไม่เคยทำงานหนัก)  และเคยมีลูกแล้ว (หลักฐานไม่ยืนยันว่าองค์หญิงเคยมีลูกหรือไม่)

ต่อมามีการพิสูจน์หลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะการพิสูจน์ดีเอ็นเอในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2009 ยืนยันว่า “ผู้ตายไม่ใช่ตงเจิน” ทำให้ข่าวลือที่ว่าเธอหนีไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านชนบท โดยใช้ชื่อว่า ยายฟาง ที่นครฉางชุนในหมั่นโจว และอยู่ต่อมาอีก 30 ปี นั้นเป็นเรื่องจริง

ยายฟาง หรือโยชิโกะ คาวาชิมา เสียชีวิตจริงในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2521  สิริรวมอายุได้ 72 ปี

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

!จีน (1904-1946) หว่านหรง ความลับที่น่าเศร้าของฮองเฮาคนสุดท้าย

หวั่นหรง คามลับอันน่าเศร้าของฮองเฮาคนสุดท้าย
ฮองเฮาคนสุดท้ายของราชวงศ์ชิงหรือคนสุดท้ายของจีน หว่านหร่ง (婉容 ชื่อเต็มคือ โกวปู้โลว วั่นหรง  แปลว่า ผู้มีใบหน้าอันเลอโฉม ) หรือ  เกรซ เกิด วันที่ 13 พฤศจิกายน 1904-20 มิถุนายน 1946)  เป็น ชาวแมนจู กองธงขาว เป็นบุตรสาวของ หร่ง หยวน รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลชิง 

หว่านหรง ถือเป็นคนที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวย และโดดเด่นมากในยุคนั้น  เธอเกิดที่ปักกิ่ง แต่บิดาส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนมิชชั่นนารีชาวอเมริกา ที่เทียนจิน ทำให้เธอได้เรียนภาษาอังกฤษ เปียโน และดนตรีแจ๊ส นอกจากนี้ เธอยังชอบกินอาหารตะวันตก  ขี่จักรยาน และ ชอบพูดภาษาอังกฤษและชอบถ่ายรูปอีกด้วย

ช่วงเดือนมีนาคม 1922 ขณะที่ฮ่องเต้ ผูอี้ อายุได้ 16 ปี ผู้ใหญ่ในวังต่างคัดเลือก บุตรรีจากตระกูลที่ร่ำรวย จากภาพถ่ายที่ถุกส่งเข้ามาในวัง เพื่อให้ฮ่องเต้เลือกจากรูปถ่าย แต่รูปถ่ายในสมัยนั้นกลับไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ทำให้ผูอี้ แยกภาพสตรีต่างๆ ไม่ค่อยออก ในตอนแรก ผูอี้เลือก เหวินซิ่ว แต่ผู้ใหญ่ในวังกลับไม่พอใจ  และจัดการประชุมขึ้น ทำให้ผูอี้ต้องเลือก หว่านหรง เพราะหวานหรงนั้นหน้าตาดีกว่าคนอื่นและมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ซึ่งตอนนั้น หว่านหรงก็อายุเท่ากับผู๋อี้ด้วย คือ 16 ปีเท่ากัน อย่างไรก็ดี เหวินซิ่ว ก็ยังได้เข้าวังมาในฐานะของนางสนม

(ความจริง ตอนนั้น ไทเฮาหลงยู่ ได้ ลงปรมาภิไธย สละราชบังลังก์ไปแล้ว ตั้งแต่ ปฎิวัติซินไฮในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1912  คนจีนบางคนจึงกล่าวได้ว่า หว่านหรงไม่ใช่ ฮองเฮาคนสุดท้าย เพราะตอนนั้นไม่มีระบบฮ่องเต้แล้ว)

หลังแต่งงาน ผูอี้ไม่ได้สนใจหวั่นหรงเลย แต่กลับไปสนิทสนมกับ พี่ชายของหวั่นหรง จนเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตของผู๋อี้เอง ทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตสนุกๆ ไป ตามภาษาวัยรุ่น  จุดนี้เองที่ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เพราะผู๋อี้สนิทสนมกับพี่ชายของหว่านหรงมาก จึงมอง หว่านหรง เป็นน้องสาวมากกว่าที่จะเป็น ภรรยา เพราะหว่านหรงคือ น้องสาวของเพื่อนสนิท 

แต่ถัดมาไม่นาน วัยรุ่นยุคนั้น กลับมีแฟชั่น นิยมการสูบซิการ์ บุหรี่ และฝิ่นตามแบบฝรั่ง ทำให้ เธอเริ่มสูบบุหรี่และฝิ่น ตามแฟชั่นของวัยรุ่นยุคนั้น  โดยผู๋อี้ ก็ไม่ว่าอะไรเธอเรื่องนี้  แต่ในหนังสือชีวประวัติของผู๋อี้ ผู๋อี้ระบุว่า เขาเป็นคนไม่ชอบกลิ่นควันบุหรี่ ทำให้เขาเลือกที่จะอยู่ห่างๆ หว่านหรง เท่านั้น

ช่วงที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในวัง หว่านหรง สนิทสนมกับ แหม่มครูสอนภาษาอังกฤษ แม้แต่ครูก็ยังชมว่าเธอเป็นคนฉลาดตั้งใจเรียนอย่างมาก เธอเป็นวัยรุ่นที่ร่าเริง ชอบถ่ายรูป ทั้งแฟชั่นแบบตะวันตก และแบบจีน นอกจากนี้ 

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 
แม้ว่า ผูอี้จะได้อยู่ราชวังต้องห้ามต่อไป และได้รับเงินดูแล 4 ล้านหยวนต่อปี แต่เป็นยุคข้าวยากหมากแพง ตอนนั้น มีขบวนการก่อตั้งพรรค คอมมิวนิสต์ 

ตุลาคม 1924 มีการรัฐประหาร หรือเรียกว่า " การปฎิวัติปักกิ่ง " โดย นายพล เฟิ่ง ยู่เสียง ทำให้วันที่ 5 พฤศจิกายน 1924 ปูยีต้องออกจากราชวังต้องห้าม ทำให้เธอต้องออกจากวัง มุ่งหน้าไปเทียนจิน เขตปกครองญี่ปุ่น  โดยอาศัยในบ้านส่วนตัวขนาดเล็ก 3 ชั้น ที่นั่นเธอรู้สึกอับอาย และหดหู่ สถานการณ์ตอนนี้ ทำให้เธอเริ่มเครียด และเสพฝิ่นมากขึ้น

อย่างไรก็ดีเทียนจินก็ยังเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้า และเป็นเมืองท่าสำคัญ ทำให้ยังมีสังคมไฮโซ และทำให้เธอยังคงได้ช๊อปปิ้ง และ เที่ยวโรงละคร และเต้นรำ มีชีวิตอยู่ในแวดวงไฮโซ ของเมืองเทียนจินได้

ผู๋อี้โกรธจัด
ช่วงนี้มีข่าวว่า  ทหารของ เจียงไคเช็ค บุกทำลายสุสานบรรพบุรุษราชวงศ์ชิง แถมยังขโมยไข่มุกดำ และพระมาลา (หมวก)ของพระนางซูสีไทเฮาไปทำรองเท้าเป็นของขวัญให้ภรรยาของเจียงไคเช็กด้วย ทำให้ผู๋ยีนั้นโกรธมาก และ ต้องการล้างแค้น เจียงไคเช็ก ทำให้ผู๋อี้ไปยอมรับข้อเสนอเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดของ ญี่ปุ่น นั่นคือ ประเทศแมนจูกัว

ขณะนั้นเอง เมื่อรัฐบาลสาธารณรัฐจีนทราบข่าว ก็ประกาศทันทีว่า ผู๋อี้เป็นกบฎ แต่ก็ไม่สามารถฝ่าวงล้อมของญี่ปุ่นไปจับเขาได้  อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นส่งสายลับมาประกบติด และคอยขู่บังคับ รวมถึงด่าทอ ผู๋อี้ ตลอดเวลา นอกจากนี้ ญึ่ปุ่นยังคอยกำจัดคนรอบข้างของผูอี้ออกไปทีละคนๆ  โดยเฉพาะทหารองครักษ์ ที่ถูกกีดกันออกไปทีละคนๆ 

ช่วงนี้ หวั่นหรง ใช้ชื่อ อลิซาเบธ ขณะที่ผู๋ยี ใช้ชื่อว่า เฮนรี่ แม้ว่าพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด แต่ความสันพันธ์กลับเริ่มแย่ลง  ในปี 1931 พระสนม เหวินซิ่ว ขอหย่ากับผูอี้  แม้ ผูอี้ จะด่าหวั่นหรงเรื่องนี้ แต่ไม่มีใครรู้ความจริงเรื่องนี้ ในที่สุด ผูอี้ก็จำต้องหย่ากับสนมเหวินซิ่ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ระหว่างปูยี กับหวั่นหรง เริ่มห่างกันมากขึ้น อย่างไรก็ดี นักประวัติศาสตร์ เชื่อกันว่า หว่านหรง ยังรู้จักผิดชอบชั่วดี และไม่ยอมตกเป็นฮองเฮาหุ่นเชิดของญี่ปุ่นมากกว่า ขณะที่ผู๋อี้นั้น ต้องการเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดของญี่ปุ่นเพื่อล้างแค้น

ปีถัดมา เกิดภัยภิบัติน้ำท่วมครั้งใหญ่  หว่านหรง บริจาคไข่มุก และสร้อยหยก เพื่อบรรเทาภัย ทำให้หนังสือพิมพ์ต่างชื่นชมในตัวเธอ ขณะที่ต่อมา ผู๋อี้ ก็บริจาคด้วยเช่นกัน

ปี 1931 องค์หญิงตงเจิน หรือ คาวาชิมะ สายลับญี่ปุ่น ได้รับคำสั่ง ให้นำหวั่นหรง ไปแมนจูกัว ให้ได้     เพราะ หว่านหรง เธอปฎิเสธที่จะไปอยู่แมนจูเรีย แน่นอนว่า องค์หญิงตงเจิน นั้นถือว่าเป็นญาติรุ่นพี่รุ่นน้องกับ ผู๋อี้ เลยทีเดียว  ทำให้ผู๋อี้นั้นสบายใจที่มีญาติมาอยู่ด้วย แต่สำหรับหว่านหรงแล้ว เธอหวาดระแวงญีุ่่ปุ่นอย่างมาก เพราะเธอถูกองค์หญิงตงเจิน ตามติดทุกฝีก้าว นอกจากนี้ ทหารญี่ปุ่นยังชอบตะโกนด่าทออย่าสม่ำเสมออีกด้วย  ทำให้ เธอตัดสินใจที่จะหนี แต่เธอกลับถูกญี่ปุ่นจับได้ ดังนั้น การหลบหนีจึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ช่วงนี้ แม้เธอจะติดฝิ่นอย่างหนัก  แต่เธอก็ยังคงแต่งกายสวยงามอยู่ในช่วงนั้น 

องค์หญิง ตงเจิน (มณีบูรพา) ระบุในรายงานว่า หวั่นหรง นั้นเกลียดญี่ปุ่นอย่างมาก เพราะทำให้เธอต้องมาอยู่ในที่อากาศหนาวเหน็บ และยังทำให้ความรักของเธอล่มสลายอีกด้วย

มีชู้กับองค์รักษ์
ตามหนังสือชีวประวัติ from emperor to citizen (我的前半生)ของผู่หยี(溥儀) ส่วนที่ตัดออกไปคือ  หวานหรงติดฝิ่นอย่างหนัก และช่วงนั้น หว่านหรง มีชู้กับองครักษ์ จนมีลูกสาวกับองค์รักษ์ เนื้อหาในหนังสือระบุว่า “ปี1935 เนื่องจากหวานหรงตั้งครรภ์ และกำลังจะคลอด ผมต้องเผชิญหน้ากับปัญหา สภาพจิตใจของผมแย่จนไม่สามารถบรรยายได้ ผมทั้งโกรธ ทั้งไม่อยากให้คนญี่ปุ่นรู้เรื่องนี้ ทางออกทางเดียวคือ ระบายอารมณ์ กับ หวานหรง”

ในตอนนี้ ทุกคนรู้แล้วว่า มีการทำผิดประเวณีเกิดขึ้นแล้ว ผู๋อี้นั้นถูกญี่ปุ่นตำหนิเรื่องนี้อย่างรุนแรง และต้องการประหารทารกน้อย โดยให้นายแพทย์ญี่ปุ่นที่ทำคลอดนั้นฉีดยา แต่ผู๋อี้ยืนยันว่า เขาจะปล่อยให้เด็กคนนี้ได้ลืมตาดูโลก และหวังให้เด็กเติบโตขึ้นมาอย่างเงียบๆ
แต่ในหนังสือชีวิประวัติของเขาที่เขียนด้วยมือของเขาเอง ฉบับก่อนที่จะตีพิมพ์ ระบุว่า ตัวผู๋อี้เองเป็นคนโยนเด็กลงในเตาไฟ ด้วยมือตัวเอง แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ยังเชื่อว่า เด็กนั้นน่าจะเสียชีวิตก่อนที่ผู๋อี้จะโยนเด็กเข้าเตาเผาแล้ว

การที่ลูกสาวเสียชีวิตนี่เอง ทำให้หว่านหรงคิดถึงลูกจนเป็นโรคประสาท เธอเสพฝิ่นอย่างหนัก  สภาพร่างกายและจิตใจ อยู่ในสภาพย่ำแย่มาก และไม่สามารถร่วมกิจกรรมใดๆ กับประเทศแมนจูกวอได้อีกต่อไป ถึงตอนนี้ หว่านหรงมีสภาพเข้าใกล้คนเสียสติเข้าไปทุกทีแล้ว ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่ การล้างหน้า อาบน้ำ ตัดผม ตัดเล็บ ปล่อยผมกระเซะกระเซิง แม้แต่ พ่อของเธอที่มาเยี่ยมเธอก็รับสภาพของเธอไม่ได้เช่นกัน จนในที่สุด พ่อของเธอก็เลิกมาเยี่ยมในที่สุด

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผู๋อี้ ก็ได้แต่งงานใหม่กับ เด็กอายุ 16 คือ ถัน อวี้หลิง โดยให้เป็นนางสนมแทนตำแหน่งของ เหวินซิ่ว ถึงตรงนี้ ในรายงานของผู๋อี้ระบุว่า เขาไม่ได้มีอะไรกับ ถัน อวี้หลิง เช่นเดิม ทำให้ นักประวัติศาสตร์เชื่อว่า ผู๋อี้ น่าจะเป็นหมัน ที่อาจเกิดความผิดพลาดในวัยเด็กก็เป็นได้ เพราะมีเมียถึง 3 คน แต่ไม่มีการระบุเรื่องการหลับนอน หรือการมีลูกเลย 

หลังสงครามโลกครั้งที่2 
หลังจากที่ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม  ในวันที่ 11 สิงหาคม 1945 กองทัพโซเวียต ใช้ปฎิบัติการ พายุเดือนสิงหาคม บุกแมนจูกัวอย่างรวดเร็ว  โซเวียตสามารถยึด ตงเป่ย อย่างรวดเร็ว

ถึงตรงนี้ ญี่ปุ่นมีเพียงเครื่องบินลำเล็กๆ เพื่อให้หลบหนีไปที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ผู๋อี้ กลับเลือกผู๋เจี๋ย น้องชาย และหลานอีก 3 คน และหมอหนึ่งคน เพื่อขึ้นเครื่องบิน ขณะที่หว่านหรง และนางสนม ถัน อวี้หลิง นั้นให้ขึ้นรถไฟหลบหนี

แต่ช้าไปเสียแล้ว โซเวียตบุกมาถึงเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว  หวานหรงจึงหนีตามผู้ติดตามไปเรื่อยๆ จนถูกกองทัพคอมมิวนิสต์จับได้ และมีการเคลื่อนย้ายไปหลายที่  ระหว่างที่เธออยู่ในคุก เธอมักจะหมดสติ และตะโกนอย่างบ้าคลั่ง แถมยังสลบไปพร้อมกับ ฉี่และอ๊วกของเธอเอง  ทำให้ผู้คุมขังมักสมเพชเธออย่างมาก

แต่โชคดีที่ในคุก พรรคคอมมิวนิสต์ ยังให้ เจ้าหญิง ซางะฮิโระ และพระราชธิดา คอยดูแลเธออยู่ใกล้ๆ ภายในคุกเดียวกัน  แต่ไม่นานผู้คุมก็ย้ายทั้งสองออกมา ทำให้ หวั่นหรงต้องอยู่คนเดียวอย่างเดียวดาย

สุดท้าย เธอก็เสียชีวิตที่คุกเหยียนจี๋ มณฑลจี๋หลิน ในวันที่10 มิถุนายน 1946 ในวัยเพียง 39 ปี เนื่องจากเธอขาดฝิ่นอย่างหนัก บางคนว่า ศพของเธอถูกเผาในคุก ขณะที่บางคนบอกว่า ศพเธอถูกโยนทิ้งในภูเขา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า ศพของหวานหรง อยู่ที่ไหน หลังจากนั้น 3 ปี ผู่อี้ได้ข่าวเสียชีวิตของหวานหรง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆออกมา

ในหนังสือประวัติของผู๋อี้ ระบุว่า เขาแต่งงาน 4 ครั้ง เป็นฮองเฮา 1 สมมเอก 1 และสนมรองอีก 2 คน ทั้งหมดเป็นเพียง การแต่งงานเฉพาะในนามเท่านั้น พวกเธอคือคนโชคร้ายสำหรับข้าพเจ้า
ภาพ Tan Yuling คนรักของผูยี่

หมายเหตุ
เรื่องผู่หยีเป็นหมัน กับการมีมีชู้ของหวานหรงนั้น น่าเชื่อถือมาก จากหนังสือ เสด็จอาคนสุดท้าย(末代皇叔载涛 )กับ ขันทีคนสุดท้าย(中国最后一位太监) นอกจากนี้ ในกระเป๋าสตางค์ของผูยี นั้นมีแต่รูปของยูหลิง และมีลายเซ็นระบุว่า ผูยีนั้นรัก ผูหลิงมากกว่า (และเป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นเกย์)
ภาพ ลายมือข้างหลังภาพที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของผู๋ยี

อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นชีวประวัติที่เขียนด้วยลายมือของผูอี้ แต่ก็มีคนแย้งว่า พรรคคอมมิวนิสต์นั้นบังคับให้เขียนเพื่อแลกกับการปล่อยตัว เพื่อให้พรรคคอมมิวนิสต์นั้นนำไปใช้ในการโฆษณาชวนเชื่อ  โดยเฉพาะเรื่องอี้อฉาว และเรื่องการแบ่งชนชั้น

นอกจากนี้มีคนวิเคราะห์ว่า ผูอี้นั้นมองเธอเป็นแค่เพื่อนในวัยเด็ก เพราะผูอี้นั้น สนิทกับน้องชายแท้ๆของหวั่นหรง อย่างมาก

ในปี 2006 พี่น้องต่างมารดาของเธอ คือ โกวปู้โลว สุ่นฉี ก็สร้างอนุสรณ์สถานให้กับหวั่นหรง ในทิศตะวันตกของสุสานราชวงศ์ชิง แม้ว่า ภายในจะไม่มีศพของเธอเลยก็ตามแต่ในนั้น มีกระจกที่ถือของใช้ส่วนตัว อยู่ภายในแทน